Skip to main content

นวลน้อย ธรรมเสถียร

 

ถนนเข้าสู่บ้านโต๊ะชูดวันนี้เงียบ

พื้นที่ที่เพิ่งผ่านการปะทะแค่ข้ามคืนกลับเงียบเชียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นับเป็นความแปลกอย่างหนึ่งก็ว่าได้

บ้านหลังนั้นอันเป็นจุดเกิดเหตุ เห็นได้ชัดว่ายังสร้างไม่เสร็จ หลังบ้านมีกระท่อมเล็กๆทำไว้เพียงหยาบๆ มีตอจากต้นไม้ใหญ่ที่ถูกตัดเหลือทำเป็นที่นั่งพักผ่อน มีร่องรอยการก่อไฟเพื่อหุงต้ม รองเท้าบู้ทถูกถอดทิ้งอยู่คู่หนึ่ง ด้านหลังเป็นพื้นที่เปิดกว้างออกสู่สวนยางเก่าที่ถูกตัดยังเหลือตอและลำต้นแห้งบนที่โล่งลาดลงเป็นแอ่งมองข้ามไปเห็นสวนยางพาราที่อยู่ลึกเข้าไปบนเนินด้านใน ข้ามลำธารขนาดเล็กเป็นที่ยกสูงขึ้นเนินเขาที่อยู่ด้านหลัง

จนท.พิสูจน์หลักฐานทำงานตรวจหาลูกกระสุนจากการ “ปะทะ” จุดที่พบศพคนทั้งสี่ที่อยู่ตามที่ต่างๆ ห่างกันไกลพอสมควร  มันไม่มีอะไรให้พวกเราเห็น นอกจากกองเลือดแดงคล้ำเป็นหย่อมที่มีแมลงวันตอมไม่กี่ตัว พร้อมกับหัวกระสุนสองสามหัวในแต่ละจุดที่อุปกรณ์ของจนท.ตรวจค้นมาได้

มองไปรอบๆตัวมีแต่ต้นยางสูงลิ่ว เขียวขจี ท่ามกลางแดดร้อนแต่ลมพัดมาเย็นสบายจนใครบางคนเอ่ยปากว่า สักวันจะไปนอนเล่นให้เย็นใจ
……..

ก่อนจะเดินพ้นบ้านหลังนั้นพวกเราทันได้เห็นขวดเล็กๆหลายขวดกลิ้งอยู่กับพื้นบริเวณตอไม้ใหญ่ ก้มลงดูก็พบว่า มันคือยาแก้ไอ  ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า เคยได้ยินเรื่องที่หลายคนใช้ยาแก้ไอผสมกระท่อมเป็นสารเสพติด

ผู้ตายสองคนในจำนวนทั้งหมดสี่คนเป็นคนตำบลพิเทน หนึ่งในสองคนนั้นคือคนบ้านโต๊ะชูด พวกเราแวะเข้าบ้านญาติผู้ตายคนนั้น มะนาเซ หรือนาเซ พี่ชายของซัดดัม วานุ บอกว่า น้องชายเขาปกติทำงานที่บ้านซึ่งรับซื้อและขายขี้ยาง เขาไม่ค่อยไปไหน แต่ในระยะสองสามเดือนให้หลังมานี้ เขาไปรับจ้างช่วยก่อสร้างบ้านหลังที่เป็นจุดเกิดของการยิงกันนั่นเอง ทำงานกลางวัน กลางคืนกลับบ้าน ไม่เคยไปทำอะไรใคร

แต่เขายอมรับว่า น้องชายวัยยี่สิบสี่ติดกระท่อม เคยถูกจับด้วยเรื่องนี้ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่น้องจะวิ่งหนีเพราะไม่อยากถูกจับอีกเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ เขาเชื่อว่าน้องชายและเพื่อนๆในวันนั้นก็คงนั่งกินกระท่อมกันตามเคย มันเป็นปัญหาที่ครอบครัวยังแก้ไม่ตก แต่ข่าวสาเหตุการตายของน้องนับเป็นเรื่องที่มะนาเซคับข้องใจอย่างยิ่ง

“ผู้ใหญ่บ้านมาบอกข่าวว่าน้องผมตายแล้วนะ” เขาเล่า “เขาเอารูปศพน้องให้ดู มีปืนอยู่ด้วย” เขาบอกว่า เรื่องที่น้องยิงต่อสู้ตำรวจ และเรื่องมีปืน “อันนี้แหละที่ผมรับไม่ได้”

“เรื่องตายผมยังยอมรับได้ แต่ใส่ความ อันนี้ผมรับไม่ได้”

และบอกว่าบาดแผลของน้องชายเท่าที่เห็นคือจากหัวทะลุรักแร้ จากแขนด้านหนึ่งทะลุออกลำตัวอีกด้าน และกระสุนที่เข้าตามหน้าอก

นาเซดูจะไม่แน่ใจว่าเขาควรจะต่อสู้เรื่องของน้องอย่างไร ความรู้สึกเจ็บปวดต้องการคำตอบ ต่อสู้กับความรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงคนตัวเล็กๆที่ไม่มีทางสู้ “ความจริงมันก็คือความจริง แต่ชาวบ้านมันพูดยังไงก็ไม่ขึ้น... ใช่ไหม”  และบางที สิ่งแรกที่อาจจะทำให้เขาหมดความเชื่อมั่น ก็คือเรื่องที่ได้เห็นรูปน้องชายในชื่ออันวาร์ ดือราแม จากในรายงานของสื่อ

นอกจากซัดดัมที่เป็นคนโต๊ะชูดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตำบลพิเทนแล้ว ในสี่คนที่ตายนั้นยังมีคนจากพิเทนอีกหนึ่ง กับคนบ้านท่าน้ำ และคนจากบ้านปากู หนึ่งในนั้นเป็นนศ.มหาวิทยาลัย

นั่งคุยกันได้ไม่นาน บนถนนที่เงียบสงบกลับปรากฏความเคลื่อนไหว รถยนตร์เจ้าหน้าที่หลายคันเคลื่อนตัวเข้ามาพร้อมทหารหน่วยต่างๆ ได้ความว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดและเจ้าหน้าที่ระดับสูงขอให้ประชุมชาวบ้านเพื่อชี้แจงกรณีวิสามัญสี่ศพทุ่งยางแดง

เห็นได้ไม่ยากว่าจนท.ได้กลิ่นเค้าลางความไม่พอใจของชุมชน และมันไม่ใช่แค่ในทุ่งยางแดง ในโซเชียลมีเดีย กระแสการตั้งคำถามถึงเรื่องราวเหตุ “ปะทะ” ที่ทุ่งยางแดงดังไม่หยุดตั้งแต่ที่ข่าวการปะทะออกมา จะเกี่ยวกันหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อเช้าวันนี้ กลุ่มญาติผู้เสียชีวิตได้รวมตัวกันไปร้องเรียน ศอ.บต. ญาติผู้ตายบางคนกล่าวว่า อาจจะมีการเยียวยาพวกเขา

นาเซ ดอฆอ ผู้ใหญ่บ้านโต๊ะชูดยอมรับว่า ญาติผู้ตายต่างมีคำถามและไม่พอใจ เพราะพวกเขาเชื่อว่าคนที่ตายอาจจะทำผิดก็จริง แต่อย่างมากก็คือกินน้ำกระท่อม ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องความรุนแรง 

“และถ้าจะว่ากันตามจริง ชาวบ้านแถวนี้ ถ้าจะให้พูดกันอย่างตรงไปตรงมา หลายคนกินกระท่อม มันเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาเวลาทำงาน”

คำอธิบายสั้นๆของผู้ใหญ่บ้านน่าจะบอกเล่าได้แค่ระดับหนึ่ง เพราะจำนวนกลุ่มชาวบ้านที่นั่งกันเต็มโรงอาหารเล็กๆของโรงเรียนโต๊ะชูดบอกเล่าได้อย่างดีถึงความสนใจของชาวบ้านในเรื่องนี้

คณะเจ้าหน้าที่นำทีมโดยผู้ว่าราชการจังหวัด นายวีรพงค์ แก้วสุวรรณ ผกก.โรงพักทุ่งยางแดง ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจ 25 และคนอื่นๆเริ่มชี้แจง จนท.ทุกคนยืนยันกับชาวบ้านว่าจะให้ความเป็นธรรมกับพวกเขา

“มันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิด” จนท.หลายคนย้ำ จนท.ทหารยืนยันว่าพวกเขาทำตามกฎการปะทะ เริ่มจากเบาไปหาหนัก และหากไม่ยิงใส่ จนท.ก่อน จนท.จะไม่ตอบโต้เนื่องจากผู้บังคับบัญชาโดยเฉพาะแม่ทัพภาคที่สี่ถือเป็นนโยบายต้องเข้มงวดในเรื่องนี้ หลายคนย้ำอีกว่า ในยุคสมัยนี้ทหารทำงานโดยนึกถึงหลักสิทธิมนุษยชน ด้านจนท.ตำรวจถึงกับสัญญาว่าจะรายงานความคืบหน้าผลการสอบสวนเป็นระยะ และหากใครมีคำถามสามารถติดต่อพวกเขาได้ทันที นายทหารอีกรายระบุว่าวันพรุ่งนี้จะมี จนท.ไปเยี่ยมชาวบ้าน และพร้อมกันนี้จะส่งหน่วยแพทย์เข้าไปช่วยดูแลชาวบ้านด้วย จนท.ทุกคนต่างร้องขอให้ชาวบ้านให้เวลาเพื่อให้จนท.ได้ทำงาน และขอให้ใช้หลักฐานจากการทำงานอันเป็น “วิทยาศาสตร์” เข้าชี้ขาดปมเงื่อนที่เห็นไม่ตรงกัน

บรรยากาศเริ่มเครียดเมื่อญาติผู้ตายสามสี่รายลุกขึ้นตั้งคำถามกับ จนท. แม้ว่าจะไม่มากเพราะบางคนร้องไห้จนพูดไม่ค่อยออก แต่คำถามสำคัญที่มาจากมะนาเซก็คือ น้องของเขามีปืนได้อย่างไร เสียงถามภาษามลายูของเขาขาดเป็นห้วงๆ ขณะที่ผู้หญิงหลายคนเริ่มร้องไห้ไปกับคนพูดด้วย

คำตอบจาก จนท.คือเสียงอธิบายที่ว่า พวกเขาต่างไม่มีใครอยู่ในที่เกิดเหตุและไม่มีข้อมูลโดยตรงเท่าๆกัน ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือรอผลการสอบสวนจาก จนท.โดยเฉพาะผลการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ขณะนี้กำลังมีการส่งปืนไปพิสูจน์เพิ่มเติมว่า ปืนเหล่านั้นที่พบข้างศพ ถูกนำไปก่อเหตุมาแล้วกี่ครั้งและอย่างไร  “ข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะบิดเบือนได้” จนท.ย้ำ พร้อมยืนยันว่า ญาติผู้ตายสามารถติดตามการทำงานของ จนท.ได้ นอกจากนั้นจะต้องมีการไต่สวนตามกระบวนการยุติธรรม พร้อมกันนั้นยังเสนอให้ความช่วยเหลือหรือแม้แต่ช่วยหาทนายให้ เมื่อชาวบ้านบอกว่า เขาไม่รู้ว่าจะสามารถต่อสู้เพื่อสิทธิของตัวเองได้อย่างไร  นอกจากนั้นยังมีการให้ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องกลุ่มคนที่ถูกนำตัวไปสอบปากคำจำนวน 22 คนว่าใครอยู่ที่ค่ายไหน จนท.ยืนยันหากพวกเขาตอบคำถามได้น่าพอใจก็จะได้กลับบ้านในเร็ววันและอาจจะไม่ต้องอยู่จนครบเจ็ดวันด้วยซ้ำ สิ่งที่ผู้บังคับหน่วย ฉก.25 ยืนยันก็คือ ทุกคนได้รับการดูแลอย่างดี ไม่มีการซ้อมแน่นอน

การพบปะจบลงในที่สุด พวกเขาแยกย้ายกันไป แต่ไม่ว่าใครก็บอกได้ว่าชาวบ้านยังไม่พอใจ ไม่มีใครรู้ได้ว่าพวกเขาเข้าใจอย่างที่ จนท.อยากให้เข้าใจหรือไม่  หรือในการขอให้ชาวบ้านยอมรับผลการคลี่คลายคดีด้วยวิธี “วิทยาศาสตร์” นั้น ก็ยังไม่มีใครพยายามรับมือความแคลงใจที่เป็นประเด็นของชาวบ้านที่ว่า วิทยาศาสตร์นั้นใช้โดย “ใคร”

แต่ที่ชัดก็คือว่า การประชุมสั้นๆอันนั้นได้ลบภาพของถนนอันเงียบสงบไปโดยฉับพลัน