ด้วย พระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีเสมอ ขอความสันติและความจำเริญแด่ศาสฑูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน
ในช่วง วันที่ 18 มิถุนายน 2557- 17 กรกฎาตม 2558 เป็นช่วงที่ชาวไทยมุสลิมและมุสลิมทั่วโลกกำลังถือศีลอด
การถือศีลอดนั้นจะอยู่ในช่วงเดือนรอมฎอนซึ่งเป็นเดือนที่เก้าของปฏิทินอิสลาม (ซึ่งจะนับเดือนตามจันทรคติ)
คำจำกัดความ และเป้าหมายของการถือศีลอด
บรรดานักปราชญ์อิสลาม ได้ให้คำจำกัดความของการถือศีลอด (ศิยามในภาษาอาหรับ) ไว้ว่า “คือ การงดเว้นจากการทำให้เสียศีลอด ตั้งแต่รุ่งอรุณจนตะวันตกดิน ด้วยการเนียต (ตั้งเจตนา) ถือศีลอดเพื่ออัลลอฮฺ (al-Zuhairi,1998:566) กล่าวคือ การงดเว้นของห้ามต่างๆ เช่น การกิน การดื่ม และการร่วมประเวณี ระหว่างสามีภรรยาตั้งแต่รุ่งอรุณจนตะวันตกดินด้วยการเนียตการถือศีลอด เพื่ออัลลอฮ์ในเวลาหลังตะวันตกถึงรุ่งอรุณ”
เหตุที่ทำให้เสียศีลอด มี 8 ประการ1.เจตนากินหรือดื่มแม้แต่เล็กน้อย 2.เจตนาร่วมประเวณี 3.เจตนา ทำให้น้ำอสุจิเคลื่อนออกมาจะด้วยวิธีใดก็ตาม 4.เสียสติโดยเป็นบ้า เป็นลมหรือสลบ 5.เจตนาทำให้สิ่งใดล่วงล้ำเข้าไปภายในอวัยวะ 6.เจตนา อาเจียน7.ปรากฏมีเลือดประจำเดือน(เฮด) เลือดหลังคลอดบุตร (นิฟาส) 8.ตกมุรตัด (สิ้นสภาพการเป็นมุสลิม)
(หมายเหตุ การเสีย ศีลอดด้วยเหตุดังกล่าวต้องเป็นไปตามนี้คือ ก.เป็นไปในเวลากลางวัน ตั้งแต่แสงอรุณจนตะวันตกดิน ข.มิได้ถูกกดขี่บังคับ.)…
พระเจ้าได้ตรัส ว่า “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย การถือศีลอดได้ถูกกำหนดแก่สูเจ้า ดังที่พระองค์ได้เคยบัญญัติแก่ชนยุคก่อนจากท่าน เพื่อว่าสูเจ้าจะเป็นผู้ที่ยำเกรง” (อัลกุรอ่าน บทที่ 2 โองการที่ 183)
คำว่าผู้ยำเกรงตาม ทัศนะอิสลามหมายถึงการกระทำความดีและละเว้นความชั่ว อิหม่ามชะฮาบุดดีน ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกอิสลามได้ อธิบายคำว่า ความดีในหนังสือ( al-Furuk) หน้า 15ไว้ว่า ” การกระทำความดีหมายถึงการช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอ การบริจาคทานแก่คนยากจน การให้อาหารแก่ผู้ที่หิวโหย การให้เครื่องนุ่งห่มแก่ผู้ขัดสน การพูดจาไพเราะอ่อนโยนกับทุกคน การให้ความเมตตาต่อผู้คน การปรึกษาหารือซึ่งกันและกันเพื่อขจัดความขัดแย้งและการทะเลาะวิวาทและอื่นๆ อีกมากมายที่เกี่ยวกับความดีทุกชนิด”
ท่านศาสฑูตมุฮัมมัด กล่าวว่า”การถือศิลอดเป็นโล่ ถ้าหากว่าผู้หนึ่งในพวกท่านถือศีลอดในวันหนึ่งแล้วเขาไม่ทำชั่วและพูดจาหยาบ คายเมื่อมีผู้หนึ่งดาทอต่อเขาหรือระบายความไม่ดีแก่เขา( ผู้ถือศีลอด) จงกล่าวว่า แท้จริงฉันถือศิลอด”
ดังนั้นการถือศีลอด ที่แท้จริงจะสามารถป้องกันและปรับปรุงตัวของผู้ที่ถือศีลอดเองและจะส่งผลดี ต่อสังคมโดยนำสังคมไปสู่สันติสุขในนิยามของรัฐหรือสันติภาพในนิยามของสื่ออย่างแท้จริงเพราะสังคมจะปราศจากความชั่ว และอบายมุขและเต็มไปด้วยความดี
แต่ถ้ามุสลิมจำเป็นต้องทำสงครามเพื่อนำสันติภาพเราก็จะพบประวัติศาสตร์สมัยศาสฑูตสำคัญมีดังนี้
วันที่ 17 เดือนรอมฎอน ปีที่ 2 แห่งฮิจเราะห์ศักราช ขณะที่ท่านศาสฑูต มีอายุได้ 54 ถึง 55 ปี ได้เกิดสมรภูมิบัดรฺครั้งใหญ่ ท่านศาสฑูต ได้ทราบข่าวว่ามีกองคาราวานอูฐบรรทุกสินค้ามุ่งหน้ามาจากแคว้นชาม (ซีเรีย) โดยมีอบูซุฟยาน ซอคร์ อิบนุ ฮัรบฺกับชายฉกรรจ์ชาวกุเรซจำนวน 30 ถึง 40 คน ร่วมขบวนมา นับเป็นกองคาราวานอูฐขนาดใหญ่ที่บรรทุกสินค้าอันเป็นทรัพย์สินมหาศาลของ เผ่ากุเรซและผู้คนในนครมักกะห์
ซึ่งถึงแม้ว่าสินค้า ที่กองคาราวานนี้บรรทุกมาจะมีค่ามากมายเพียงใดก็ย่อมมิอาจเพียงพอต่อการ ชดใช้หรือทดแทนทรัพย์สินที่ชาวมุฮาญี่รีนต้องสูญเสียไปจากการอายัดยึดครอง ของฝ่ายกุเรซในนครมักกะห์ ท่านศาสฑูต ได้เชิญฃวนผู้คนโดยเฉพาะชาวมุฮาญี่รีนให้ออกไปยังกองคาราวานดังกล่าวเพื่อ อายัดทรัพย์สินเอาไว้เพื่อประโยชน์ของฝ่ายมุสลิม
ท่านศาสฑูต ได้นำกำลังพลกว่า 300 นายออกจากนครม่าดีนะห์ในวันที่ 8 เดือนร่อมาฎอน โดยท่านได้แต่งตั้งให้ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ อุมมิมักตูมเป็นผู้รั้งนครม่าดีนะห์และนำผู้คนที่ไม่ได้ออกศึกในการนมัสการ ละหมาด ครั้นเมื่อเดินทัพถึง ต.อัรเราฮาอฺ จึงได้มีคำสั่งให้อบู ลุบาบะฮฺ เดินทางกลับสู่นครม่าดีนะห์เพื่อร่วมสมทบกับท่านอับดุลลอฮฺในการรักษานครแทน พระองค์
ไม่ปรากฏว่าในการเดิน ทัพครั้งนั้นมีกำลังม้าศึกร่วมทัพอยู่เลยนอกจากม้าศึกเพียงสองตัว ตัวหนึ่งเป็นของท่านอัซซุบัยร์ และอีกตัวหนึ่งเป็นม้าศึกของท่านอัลมิกด้าด อิบนุ อัลอัสวัด อัลกินดีย์เท่านั้น ส่วนทัพอูฐนั้นมีอยู่ราว 70 ตัวโดยให้พลเดินเท้าผลัดเปลี่ยนกันขึ้นขี่ชุดละสองถึงสามคนต่ออูฐหนึ่งตัว ฝ่ายกองคาราวานของกุเรซที่มีอบูซุฟยานเป็นผู้นำเมื่อได้ทราบข่าวการเคลื่อน กำลังของท่านศาสฑูต ที่หมายเข้าพิชิตกองคาราวานเพื่อตัดทอนกำลังฝ่ายกุเรซ อบูซุฟยานก็ได้เร่งรุดส่งม้าเร็วมุ่งหน้าสู่นครมักกะห์เพื่อแจ้งข่าวแก่ พลเมืองมักกะห์พร้อมปลุกระดมให้มีการแต่งทัพออกจากมักกะห์เพื่อปกป้องกอง คาราวานสินค้าดังกล่าวซึ่งถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ของพลเมืองมักกะห์ทั้งหมดให้ พ้นจากการยึดครองของฝ่ายมุสลิม
เหล่าผู้นำกุเรซก็เร่ง ระดมผู้คนได้กำลังพลราว 1,000 คน เพื่อทำศึกปกป้องกองคาราวานของตน ครั้นเมื่อท่านศาสฑูต ทราบข่าวการเคลื่อนทัพของมักกะห์ท่านได้ประชุมหารือกับเหล่าสาวกเกี่ยวกับ การศึก เหล่าสาวกทั้งหมดก็ขานรับการเรียกร้องของท่านด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ในที่สุดกองทัพของทั้งสองก็ได้ประจัญบานกัน ณ ตำบลบะดัร การสู้รบดำเนินไปอย่างดุเดือด ท่านศาสฑูต ได้วิงวอนขอต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า
“โอ้ องค์พระผู้เป็นเจ้า หากพระองค์ทรงให้กลุ่มชนนี้ (อันหมายถึงฝ่ายมุสลิมซึ่งมีความเสียเปรียบด้านกำลังพลและ อาวุธยุทโธปกรณ์) ได้รับความวิบัติแล้วไซร้ พระองค์ก็จะไม่ได้รับการสักการะในหน้าผืนพิภพนี้” จากคำวิงวอนนี้เองท่านศาสฑูต และกองทัพของท่านก็ได้รับความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้าด้วยการส่งกองทัพ ม่าลาอิกะห์ (เทวทูต) จำนวน 1,000 ท่านเข้าร่วมรบเป็นกองหนุนแก่ฝ่ายมุสลิมซึ่งได้รับชัยชนะเหนือกองทัพของมัก กะฮฺอย่างงดงาม ในสมรภูมิบัดรฺครั้งใหญ่นี้ฝ่ายกุเรซเสียกำลังพลไปจำนวน 70 คนและถูกจับเป็นเชลยศึกอีกจำนวน 70 คนฝ่ายมุสลิมได้พลีชีพจำนวน 14 คน
หลังเสร็จสิ้นจากการ ศึกบัดรฺ ท่านศาสฑูต ได้นำทัพกลับสู่นครม่าดีนะห์ในฐานะจอมทัพผู้มีชัยและพระผู้เป็นเจ้าได้ทรง บันดาลให้พระดำรัสและศาสนาของพระองค์สูงส่งและสมเกียรติตลอดจนทรงดลบันดาล ให้เหล่าทหารผู้กล้าของพระองค์พรั่งพร้อมด้วยเกียรติภูมิ
จากผลพวงของชัยชนะ ทางการทหารของฝ่ายมุสลิมได้ทำให้กลุ่มชนบางพวกเข้ารับอิสลามเพื่ออำพรางว่ายอมสวามิภักดิ์ต่ออำนาจรัฐอิสลามที่มาบัดนี้มีกำลังกล้าแข็งและมีชัยต่อทัพ มักกะห์ ชนพวกนี้เป็นที่รู้จักกันในนามว่า “พวกหน้าไหว้หลังหลอก” (มุนาฟิกูน) มีผู้นำคนสำคัญคือ อับดุลลอฮฺ อิบนุ อุบัยย์ อิบนิ ซ่าลู้ลซึ่งมีบทบาทในการบ่อนทำลายอิสลามในกาลต่อมา
วันที่ 10 เดือนรอมฎอน ปีที่ 8 แห่งฮิจเราะห์ศักราช ท่านศาสฑูต พร้อมด้วยเหล่านักรบผู้แกล้วกล้าจำนวน 10,000 นาย อันประกอบด้วยชาวมุฮาญี่รีน (เหล่าผู้อพยพจากนครมักกะห์) และชาวอันซ็อร (ผู้ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือจากชาวเมืองม่าดีนะห์) ตลอดจนอาหรับเผ่าต่าง ๆ ที่เป็นพันธมิตรกับฝ่ายมุสลิมได้เคลื่อนกำลังพลออกจากนครม่าดีนะห์มุ่งหน้า สู่นครมักกะห์เพื่อทำการพิชิตนครมักกะห์อย่างเด็ดขาด
สาเหตุการเคลื่อนทัพ ของท่านศาสฑูต ดังกล่าวเกิดจากการละเมิดสนธิสัญญาพักรบอัลฮุดัยบียะห์ซึ่งได้ลงนามกัน ระหว่างฝ่ายมุสลิมกับฝ่ายกุเรซเมื่อราวปีที่ 6 แห่งฮิจเราะห์ศักราช โดยเผ่าบนีบักรซึ่งเป็นพันธมิตรกับฝ่ายกุเรซได้ละเมิดสนธิสัญญาด้วยการลอบ โจมตีคนของเผ่าคุซาอะห์ซึ่งเป็นพันธมิตรฝ่ายท่านศาสดา (ซ.ล.) เหตุการณ์ดังกล่าวจึงนับได้ว่าเป็นการสิ้นสุดของช่วงระยะเวลาพักรบระหว่าง สองฝ่าย
เมื่อฝ่ายคุซาอะห์ถูก ลอบโจมตี ท่านอัมร์ อิบนุ ซาลิม และท่านบะดีล อิบนุ วัรกออฺซึ่งทั้งสองเป็นคนของคุซาอะห์จึงรุดไปแจ้งขอความช่วยเหลือจากท่าน ศาสฑูต ให้ปราบปรามพวกกุเรซและเหล่าพันธมิตร ท่านศาสฑูต ได้ตอบรับข้อเรียกร้องอีกทั้งยังได้แจ้งแก่บุคคลทั้งสองด้วยอีกว่าชัยชนะ อย่างเด็ดขาดจะตกเป็นของฝ่ายมุสลิมในการพิชิตนครมักกะห์
นอกจากนี้ท่านศาสฑูต ยังได้ปฏิเสธที่จะลงนามสนธิสัญญาครั้งใหม่กับอบูซุฟยานซึ่งเป็นตัวแทนและ ผู้นำของฝ่ายกุเรซและพันธมิตร เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพท่านศาสฑูต ผู้เป็นจอมทัพจึงได้เคลื่อนกำลังพลชาวมุสลิมสู่นครมักกะห์ ครั้นเมื่อถึงชานเมืองนครมักกะห์ อบูซุฟยาน อิบนุ ฮัรบ์ ผู้นำของกุเรซก็ได้เข้าพบท่านศาสฑูต เพื่อต่อรองเกี่ยวกับเรื่องรื้อฟื้นสนธิสัญญา แต่ก็ไร้ผล
ท่านศาสฑูต ได้เสนออิสลามแก่อบูซุฟยาน ซึ่งในที่สุดอบูซุฟยานก็ได้เข้ารับอิสลาม และเมื่อกำลังพลของฝ่ายมุสลิมยาตราทัพเข้าสู่ตัวเมืองมักกะห์ ท่านศาสฑูต ได้มีบัญชาให้ป่าวประกาศแก่พลเมืองมักกะห์ให้เป็นที่ทราบกันว่า “ผู้ใดเข้าสู่เคหะสถานของอบีซุฟยาน ผู้นั้นย่อมปลอดภัย และผู้ใดปิดประตูบ้านเรือนของตน ผู้นั้นย่อมปลอดภัยและผู้ใดหลบเข้าสู่มัสยิดอัลหะรอม ผู้นั้นย่อมได้รับความปลอดภัย”
เดือนรอมฎอน ปีที่ 9 แห่งฮิจเราะห์ศักราช คณะทูตจากเผ่าซะกีฟ เดินทางเข้าพบท่านศาสฑูต และประกาศการเข้ารับอิสลามต่อหน้าท่าน เรื่องนี้มีอยู่ว่าท่านอุรวะห์ อิบนุ มัสอู๊ดผู้นำเผ่าซะกีฟได้เข้าพบท่านศาสดา (ซ.ล.) หลังสิ้นการศึกจากสมรภูมิฮุนัยน์และสมรภูมิตออิฟ และก่อนหน้าท่านศาสฑูต จะเดินทางถึงนครม่าดีนะห์ ท่านอุรวะห์ก็ประกาศตัวเข้ารับอิสลามและเป็นอิสลามิกชนที่ดี ต่อมาท่านอุรวะห์ได้ขอคำอนุมัติจากท่านศาสฑูตในการเดินทางกลับสู่ประชาคมของตนเพื่อทำการเผยแผ่ศาสนา ท่านได้อนุมัติตามคำขอนั้นทั้ง ๆ ที่ท่านเกรงว่าอาจจะเกิดภัยแก่ท่านอุรวะห์
อย่างไรก็ตามเมื่อท่าน อุรวะห์เดินทางกลับสู่เผ่าซะกีฟท่านก็ได้ทำหน้าที่เรียกร้องชนเผ่าซะกีฟให้ เข้ารับอิสลาม แต่แล้วพวกนั้นก็ตอบรับคำเรียกร้องของท่านด้วยการยิงธนูใส่ท่านจนถึงแก่ ชีวิต การพลีชีพของท่านอุรวะห์ได้ก่อให้เกิดความเศร้าโศกเสียใจแก่ผู้คนในเผ่าซะ กีฟตลอดจนได้ สำนึกว่านั่นเป็นการกระทำของคนเขลาเพราะพวกตนไม่อาจสู้รบปรบมือกับกองทัพอัน เกรียงไกรของท่านศาสฑูต ได้เลย
ดังนั้นชนเผ่าซะกีฟจึง ได้ตัดสินใจส่งคณะทูตของพวกตนเข้าพบท่านศาสฑูต และได้ประกาศยอมรับอิสลามราวเดือนรอมฎอน ตรงกับปีฮ.ศ.ที่ 9 ท่านศาสฑูต ได้ยอมรับการประกาศเข้ารับอิสลามดังกล่าวพร้อมทั้งยังได้ส่งท่านอบูซุฟยาน ช็อคร์ อิบนุ ฮัรบ์ซึ่งได้รับอิสลามแล้วตลอดจนท่านอัลมุฆีเราะห์ อิบนุ ชุอฺบะห์ให้ร่วมเดินทางไปพร้อมกับคณะทูตเพื่อทำการเผยแผ่ศาสนาและทำลายรูป เคารพประจำเผ่าซะกีฟ
กล่าวโดยสรุปในเดือนรอมฎอนมีหลักการที่จะนำสู่สันติภาพแต่ถ้าจำเป็นต้องทำสงครามเพื่อนำสันติภาพกลับมาก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
สิ่งที่ต้องทำสิ่งที่ต้องทำควบคู่กับกระบวนการสันติสุขหรือสันติภาพคือ รัฐหรือภาคประชาสังคมจะต้องช่วยหนุนเสริมต่อห้ายุทธศาสตร์ใหญ่กล่าวคือ
1. การขยายประชาธิปไตยที่ควบคู่กับคุณธรรมหรือสร้างให้คนในชุมชนเป็นพลเมือง
2. การดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมและสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของรัฐ
3. การสร้างความเข้าใจของกระบวนการสร้างสันติสุขหรือสันติภาพทั้งคนในและนอกพื้นที่
4. การพัฒนายกระดับคุณภาพชีวิตที่สอดคล้องกับคนในพื้นที่
5. การส่งเสริมด้านอัตลักษณ์ ศาสนา ภาษาและวัฒนธรรมกับประชาชน
…………………………….
หมายเหตุ ประวัติเหตุการณ์สำคัญเดือนรอมฎอนในสมัยศาสดา