เช้าวันที่ 31 ตื่นก่อนเพื่อนในห้องเสียอีก อันนี้ไม่แน่ใจว่าอาการตื่นเต้นที่จะได้เที่ยว หรือ เป็นเพราะอาการนอนไม่หลับตั้งแต่เมื่อคืน รีบลงจากเตียงแล้วอำลาและขอบคุณเรื่องที่นอน กับหยก และการ์ตูน แล้วรีบจัดการเรื่องที่นอน ไม่ให้ผิดสังเกต กลัวแม่บ้านจะมาตรวจ จับได้ว่ามีคนอื่นมานอน จัดที่นอนเสร็จสับก็เดินเข้าไปในห้องตัวเอง แบบเงียบที่สุด ผู้ชายที่พักอีกคนน่าจะเพิ่งกลับ เพราะก่อนที่จะออกจากห้องเมื่อคืนเห็นแต่ ฝรั่ง แต่อีกคนคงไม่ใช่ฝรั่ง เพราะฝรั่งที่พบเจอทั่วไป มักจะ ขาว แล้วชายสองคนนี้ ก็ยังไม่ตื่น โชคดีของพวกเรา เลยรีบหยิบเสื้อ กางเกง ผ้าคลุมที่จะใส่ไปเที่ยววันนี้รีบเข้าไปห้องน้ำ จัดการเรื่องส่วนตัวเสร็จ ก็เข้าไปละหมาด ให้เสร็จสับ ก็รีบเดินอย่างเบาที่สุดเพื่อจะออกโดยไม่ให้ สอง ชายนั้นตื่น (ในใจ คิดว่า ไม่ต่างอะไรจากขโมยเลยฉัน ฮาโรย) โรงแรมที่พัก ไม่ห่างกันมากจาก komtar เป็นสถานีรถเมล์ โดยเราจะใช้วิธีการเดินไป komtar ซึ่งระแวก สถานีก็จะมีอาหารเช้าขาย เราสองคนก็เลยตัดสินใจทานอะไรให้อิ่มท้องก่อนขึ้นรถเมล์สาย 204 เพื่อ ไป ปีนัง ฮิลล์ อาหารเช้าที่นี่ ก็ไม่ต่างอะไรมากจากบ้านเรา หากจะแตกต่างก็น่าจะเป็น ประเภทข้าว ส่วนขนม บางชนิดก็มีขายที่บ้านเรา ส่วนตัวจัดซื้อ แซนวิช ขนม และ ชาเย็น (ที่จริงตอนสั่งน้ำเข้าใจว่า น่าจะเป็นชาดำ)แต่มาพอเห็นเป็นชาเย็น เอาเหอะ! ดื่มได้ทั้งนั้น (ภาษามาเลย์กลางงูๆ ปลาๆ พอให้ได้อิ่มท้องก็ถือว่า บุญแล้ว)ระหว่างทานอาหารเช้าก็ได้คุยกับเพื่อนว่า คงไม่ต้องหาโรงแรมอื่นแล้วน่ะ เสียเวลาหาที่พักแทนที่จะได้เที่ยว ยังไงก็ยึดแผนเดิมแล้วกัน กลับโรงแรมให้ช้า แล้วนั่งเล่นที่โซฟาไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้า หากคนที่มาพักเพิ่มห้องเราเป็น ผู้ชาย โอใหม “โอเค “ กินเสร็จก็ไปรอ ที่ เลน 2 สุดสาย เพื่อรอขึ้นรถเมล์ สาย 204 เพื่อไป ปีนังฮิลล์ ระหว่างรอรถเมล์ เห็นกลุ่มนักท่องเที่ยว ประมาณ 4 คน แต่อายุประมาณ 30-50 และ ประมาณ 55-60 หนึ่งคน พยายามฟังพวกเขาพูด เอะ! หันไปบอกเพื่อนว่า แกลองตั้งใจฟังว่า เป็นภาษาไทยหรือเปล่า ไม่ใช่ฉันหูฟาดใช่ใหม ชัดเจน คนไทย คิดว่าเขาคงจะไปปีนังฮิลล์เหมือนกัน (555 รอดหนึ่งด่าน เราก็มั่นใจในข้อมูลที่เรามี แต่ถ้ามีคนไปเหมือนกันกับเราอย่างน้อยได้มี แบบอย่างให้ทำตาม ) และระหว่างรอ เช่นกัน เจอ มะจิ คนหนึ่งกำลังจะมารอรถเมล์แต่เก้าอี้นั่งหมดเลยเชิญมะจิมานั่งที่เก้าอี้ แทนตัวเอง เพื่อเชื่อมสัมพันธ์จะได้ถามให้แน่ชัดว่า ที่รอตรงนี้ถูกแล้วใช่ใหม หากจะไป ปีนังฮิลล์( ใช่แล้ว หากรอสายนี้จะไปปีนังฮิลล์ มะจิตอบ) แล้วมะจิจะไปปีนังฮิลล์เหมือนกันใช่ใหมค่ะ (ไม่หรอก มะจิจะไปที่อื่น แล้ว หนูสองคนมาจากไหน) มาจาก ไทยแลนด์ “เอะ! ทำไมมะจิทำหน้า งง แค่คิดในใจ” ไอ้เราก็รีบตอบกลับไปว่า มาจาก ปาตานี (อออออ! ปาตานี โอเคๆ) คิดว่าดีเหมือนกันเอะ เขารู้จักปาตานี จะได้มีสองตัวเลือกในการตอบว่ามาจากไหน หากตอบว่ามาจากปาตานี เขา งง ก็จะได้ตอบว่ามาจากไทยแลนด์ พอตอบมาจากไทยแลนด์ เขา งง ก็จะได้บอกว่ามาจาก ปาตานี (บางทีคิดว่า ตกลง คนที่นี่รู้จัก ไทยแลนด์มากกว่าหรือ รู้จัก ปาตานีมากกว่า อันนี้ไม่สามารถวัดเชิงปริมาณได้ เพราะพบเจอคนไม่กี่คน) ลุกๆๆ รถเมล์ 204 มาแล้ว คือ รถเมล์บ้านเขาจะขึ้นทางเดียว คือ ข้างหน้า แล้วลงข้างหลัง จำนวนเงินไป ปีนังฮิลล์ คนละ 20 บาท ออ! บ้านเขาไม่มีกระเป๋ารถเมล์ที่จะเดินเก็บเงินถึงที่นั่ง แต่จะเป็นหน้าที่ของคนโดยสารที่จะหยอดเงินในกล่องข้างคนขับ แล้วคนขับก็จะให้ตั๋วแกเรา และรถเมล์บ้านเขาใช้แอร์ จึงไม่ก่อให้เกิดเหตุอาละวาดจากอากาศร้อน ซึ่งจะแตกต่างจากบ้านเรา เพราะรถเมล์บ้านเรา ใช้แอร์ธรรมชาติหรือไม่ก็มีพัดลมแต่ดันไม่หมุนซะงั้น
จาก komtar ถึง ปีนังฮิลล์ประมาณ 40-45 นาที โดยปีนังฮิลล์จะจอดสุดสายจึงไม่ต้องกลัวว่าจะลงผิดคิว ถึงแล้ว ปีนังฮิลล์ หรือ Bukit bindara ทำการลงรถเมล์แล้วเดินไปซื้อตั๋วรถไฟรางเพื่อขึ้นไปบนเขา โดยราคา 300 บาทได้ราคาเต็ม ซึ่ง 300 บาท จะรวมทั้งขาไปและขากลับ “คือ จำได้ตอนที่ดู รายการ หนังพาไป เขาได้บอกว่า หากจะซื้อตั๋วเที่ยว หรือ ตั๋วอะไรก็ตามที่มีราคาสูง ให้ยื่นพาสปอร์ต เพื่อเขาจะลด ประเทศเขาอาจจะเป็นพันธมิตรกับประเทศเราก็ได้ แต่หากยื่นแล้วเขาจะลดหรือไม่ลดก็ไม่เสียหาย” คือในหนังพาไป พี่เขาแนะนำว่า เป็นแค่พาสปอร์ต แต่เราเอาอีกใบเพื่อยืนยันว่าคงต้องได้ส่วนลดแน่ๆ คือ บัตรนักศึกษา(ซึ่งเป็นบัตรนักศึกษาที่หมดอายุไปสองปีแล้ว ) พอถึงคิวซื้อตั๋วก็ยื่นทั้งสองใบ เขาก็มองเรา เราก็มองเขา เขาถามว่า เป็นนักศึกษา หรือ นักท่องเที่ยว แหม่ เป็นนักท่องเที่ยวก็ได้ “ 300 ริงกิต ครับ” แป๋ว พาสปอร์ต กับ บัตรนักศึกษา(หมดอายุ) ไม่ได้ช่วยอะไร แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะเราเองก็เตรียมเงินตาม ที่รีวิวมาแล้ว ยังจำได้ใหมว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เป็นคนไทยที่กล่าวไปข้างต้น พวกเขา ขึ้นรถไฟขบวนเดียวกัน “ไอ้เราเป็นเด็กเลยเป็นฝ่ายสวัสดี และถามไปว่า มาจากประเทศไทยใช่ใหมค่ะ มาจากที่ไหนเอย” มาจากกรุงเทพ แล้วหนูสองคนเป็น คนไทยหรอ “ค่ะ “ นึกว่าเป็นคนมาเลย์ แหม่ กลมกลืนเลยน่ะ 555 “ 555 คือการกลมกลืนมีทั้งได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ การแต่งตัวสามารถทำให้คนที่นี่คิดว่า เราเป็นพวกเดียวกันกับเขา แต่ที่เสียประโยชน์ เขาจะคิดว่าเรา คงจะรู้จักทุกอย่างในปีนัง แต่หารู้ไม่ ไม่รู้อะไรสักอย่างเลย “ ใช่จริงด้วยพี่เห็นด้วย 555 แล้วน้องสองคนพักที่ไหนล่ะ “ พักที่ คิมเบอรรี่ ค่ะ” อืม ไปลังกาวีใหม เดี่ยวพรุ่งนี้พี่ไปลังกาวีต่อ “ หว่า อิจฉาจังเลย เป็นสถานที่ที่หนูอยากไปมากเหมือนกัน แต่คงจะไม่ได้แล้วล่ะ ต้องกลับไปเครีย์งานต่อค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักกันนะค่ะ เราต้องรีบจบการสนทนา เพราะ รถไฟรางอยู่ตรงหน้าแล้ว “
เวลาที่ขึ้นประมาณ 10 .30 เช้า รถไฟรางจะพาผู้โดยสารไปข้างบน ระหว่างทางขึ้นบริเวณทั้งสองข้างทางจะมี ก้อนหินใหญ่ ป่า และ ลำธารขนาดเล็ก ดงดอกไม้ และบ้านคน “ อูว์ววววว สวยงามมาก คือเราอยู่จุดที่สูงที่สุดของปีนัง ก็จะเห็นทั้งหมดของเมืองปีนัง แหม่ สวยจุงเบย สวยมาก สวยค่ะ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร แถมลมพัดผ่านทีหนึ่ง นำความหนาวเย็นมาแตะผิวหนัง พอที่จะทำให้ขนลุกซู่ๆๆ
ชั้นที่หนึ่งของปีนังฮิลล์ ก็จะเป็นร้านอาหาร ชั้นที่สองจะเป็นสถานที่ถ่ายรูปที่มีการคล้องกุญแจรัก เหมือนในซีรี่เกาหลีที่พระเอก พา นางเอกไปคล้องกุญแจด้วยกัน บริเวณนั้นก็จะเป็นที่คล้องกุญแจเป็นสองข้างทางเดินส่วนใหญ่กุญแจที่เขาคล้องจะเป็นสีชมพู แอบไปดูที่เขาเขียน จะมีหลากหลายภาษามาก แต่ภาษาที่ยังไม่พบหรือเราหาไม่เจอ คือ ภาษาไทย
ชั้นสามก็จะเป็นที่ตั้งของ โบสถ์ มัสยิด และ วัดฮินดู ก็เดินไปชมมัสยิดบนนี้ใหญ่สมควร สะอาด ส่วนโบรถ์ก็น่าจะมีคนเข้าไปเพราะข้างหน้าโบสถ์สังเกตเห็นรถยนต์จอดอยู่ และวัดฮินดู ก็มีนักท่องเที่ยวเข้าไปไหว้เหมือนกัน ส่วนไอ้เราถ่ายรูปเสร็จก็เดินลงมาจนถึง บูธคนอินเดีย เข้าไปใกล้ๆ เฮ้ย! เจอแล้ว เพ้นท์เฮนน่า คือ ตอนอ่านรีวิวมีการพูดถึง เพ้นท์เฮนน่า เลยตกลงกับเพื่อนว่า หาก สามสิบ ถึง ห้าสิบบาท เราทำกันน่ะ แต่หากหนึ่งร้อยบาท ไม่ทำ โอเค! เลยตัดสินใจถามแม่ค้าว่า กี่บาทค่ะ “หนึ่งร้อยห้าสิบบาท” หันมามองเพื่อน เอาไง เอาไง แต่มาแล้วหากไม่ทำก็น่าเสียดายอยู่ ตกลงเจตนารมณ์ก่อนหน้านั้น หายไปเลย ไม่มาเตือนสติกันเลย เพ้นท์ก็เพ้นท์ เสร็จจากการเพ้นท์ก็เดินลงข้างล่างเพื่อไปเก็บบรรยากาศบริเวณนั้นอีกทีได้ประมาณ สามสิบนาที ก็ตัดสินใจกลับกับรถไฟรางเหมือนตอนที่ขึ้นมา อยู่ที่นั้นประมาณ หนึ่งชั่วโมงกว่าและเวลาประมาณ 11.30 น. ลงมาด้านล่าง ก็จะมีรถ 204 จอดคือเราจะขึ้นรถนั้นไป Masjid Nageri pulau pinang คือมัสยิดนี้ไม่ได้อยู่ในแผนแต่ ซึ่งทางผ่านก่อนเข้าปีนังฮิลล์สังเกตเห็นสวยมากและ ดีเหมือนกันจะได้ละหมาดควบที่นั่นเลย แต่ลงจากปีนังฮิลล์ ก็เดินลงไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะลองเดินดูบริเวณปีนังฮิลล์มีอะไรบ้างให้เก็บถ่าย ก็จะมี วัดคนจีน พอเดินไปเรื่อยๆเหมือนจะมีไม่มีอะไรแล้ว เลยตัดสินใจเดินตรงไปนั่งเก้าอี้ที่ศาลารอรถเมล์ ซึ่งเราเข้าใจว่า รถเมล์ทุกสาย จะผ่านทางนั้นก็เป็นสิ่งที่ถูกว่าต้องผ่านมาทางนี้ ซึ่งหากขี้เกียจรอที่ศาลานี้ต้อง เดินย้อนกลับไปขึ้นที่ ปีนังฮิลล์อีกครั้ง เรารอ ประมาณ 15 นาที ก็มีลุงเดินผ่านแล้วบอกว่า “ รถเมล์มาแล้ว พร้อมชี้นิ้วไปยังรถเมล์ “ ขอบคุณค่ะ เตรียมตัวลุก แล้วเราก็ยืนสวยๆ เตรียมตัวที่จะก้าวขาทันทีเมื่อรถเมล์มาถึง มาแล้ว มาแล้ว อ้าว เฮ้ย! ทำไมไม่จอดวะเนี้ย อ้าว แล้วป้ายรถเมล์นี้ล่ะ เพื่อนก็พูดว่า เหมือนเขาจะมองเราน่ะ ใช่ เขามองเราน่ะ เราก็มองเขา แหม่ นึกว่าจะจอด เพิ่งมารู้ว่า หากจะให้รถเมล์จอดต้องโบกเหมือนบ้านเราเหมือนกัน โอเค ! เดินย้อนกลับก็ได้ ไปขึ้นรถเมล์ สาย 204 ที่ขาขึ้นปีนังฮิลล์ โชคดีที่มีรถสาย 204 รถอยู่ ก็บอกกับเขาว่า ลง Masjid Nageri pulau pinang นั่งไปเรื่อยๆตากแอร์ไปเรื่อยๆ แต่เหมือนจะตัวร้อนแปลก โดนร้อน โดนเย็น ร่างกายปรับไม่ค่อยจะทัน
ระหว่างทางเราพยายามสังเกตมัสยิดนั้นตลอด นั้นไง เห็นแล้ว คนขับก็จอด คุณยายท่านหนึ่งก็ลง แล้วเราล่ะ สงสัยเขาคงจะไปจอดข้างหน้าอีกนิดเพราะเราบอกเขาแล้วว่าจะลงมัสยิด อ้าวไม่จอด เพื่อนตัดสินใจกดกริ่ง เขาก็หันมาบอกว่า “ เมื่อกี้ทำไมไม่ลง” ขอโทษค่ะ หนูไม่ทราบ รีบวิ่งลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ข้ามถนน เข้าไปมัสยิดดังกล่าว ข้างๆมัสยิดจะมี ตาดีกา คือ เรามาก่อนเวลาละหมาด เวลาละหมาดที่นี่ 13.30 น. ก็ได้มีเวลาถ่ายรูปในมัสยิด คือ ใหญ่มาก หรูหรามาก ได้อยู่ในมัสยิดประมาณ สองชั่วโมง แล้วเดินออกเพื่อขึ้นรถเมล์ไปยัง komtar เพื่อหาอะไรทานแล้วขึ้นรถ CAT(เป็นรถฟรีที่นำชมรอบเมืองปีนัง หากต้องการลงที่ไหนสามารถกดกริ่งเขาจะทำการหยุด แล้วเราก็สามารถลงได้เลย เราขึ้นรถนี้เพื่อลงย่าน Little India และ ตามล่า Street art อันนี้ตามแผนตอนที่อยู่ในมัสยิด ซึ่ เมื่อทานอะไรเสร็จแล้วก็ไปหา รถ CAT เพื่อลงสถานที่ที่กล่าวข้างต้น แต่นั้นละซิ เรารู้จักแค่ชื่อสถานที่ ส่วนตรงไหน เราไม่รู้ คนในรถ CAT นี้ถือว่า หลายคนเหมือนกัน คราวนี้ได้บัตรยืนไม่มีที่นั่ง ซึ่งนับเป็นความโชคดีมากได้ยืนใกล้กับสองสาวอินเดียเลยโชว์สมุดที่ตัวเองติดมือว่า พอจะรู้จักสถานที่นี้ใหม นั้นคือ Little India เธอก็บอกว่า อยู่ข้างหน้า แต่เราก็บอกไปว่า เราไม่รู้จัก หากจะขอช่วยกดกริ่งเมื่อถึง จะเป็นอะไรใหม ซึ่งเขายิ้มตอบและบอกว่า เดี่ยวจะกดให้ เราได้สนทนาเป็นภาษามลายูตลอดทาง แม่สาวน้อยผมยาว เรียนครู ส่วนแม่สาวน้อยที่ถักเปีย เรียน ธุรกิจ และก็ได้ถามว่า จุดสีดำที่หน้าผากคืออย่างไรหรอ เธอบอกว่า “ จุดที่หน้าผากหมายถึงคนที่มีเชื้ออินเดียแต่เดิม ส่วนสีแดง หรือ สีอะไรก็ตามจะเป็นคนที่แต่งงานแล้ว ส่วนคนโสดจะเป็นสีดำ” อืม ก็คุยไปเรื่อยๆ ชวนเขามาเที่ยวเมืองไทย เขาก็บอกว่า เขาเคยไปแล้วแต่ไปได้ไม่ไกลที อยู่ระหว่างแดนมาเลย์ เหมือนกัน แต่เขาจำไม่ได้แล้วว่าไปที่ไหน สักพัก เธอก็กดกริ่งแล้วบอกกับเราว่า ถึงแล้ว พร้อมแนะนำว่า บริเวณโซนนี้จะมีรูปภาพตามผนังด้วย แต่อาจจะต้องเข้าซอยโน้น ซอยนี้ อาจจะเจอ “ Thank you Nice too meet you คำทิ้งท้ายก่อนลงจากรถเมล์”
ทันทีที่ลงจากรถแล้วเดินเข้าซอย อินเดีย กลิ่นเครื่องเทศ กลิ่นน้ำหอม โชยเข้ารูจมูกเพียงพอที่จะทำให้ จาม จึงตัดสินใจปิดจมูกเมื่อผ่านร้านเครื่องเทศ แล้วเดินไปข้างหน้าอีกนิดจะเป็นร้านเสื้อผ้า ร้านขายพวกขนม และร้านซีดีซึ่งเขาจะเปิดดังสมควรที่จะทำให้ขี้หูเต้นตามจังหวะได้ คงไม่ต้องบรรยายว่าดังเพียงใด การแต่งกายของคนอินเดียที่นี่จะแต่งสีโทนจัดๆ แดงบ้าง ส้มบ้าง เขียวบ้าง สีสัน และ แสบตา แต่ก็เก๋ไปอีกแบบ อย่างที่กล่าวข้างต้นว่า การมาย่านอินเดียเพื่อที่จะมาซื้อเสื้อ ก็เป็นได้ดังที่หวัง เมื่อสองก้าวเข้าไปในร้านขายเสื้อ คือ เสื้ออินเดียเป็นความชอบส่วนตัวในลักษณะเสื้อยาวถึงหัวเขา และ การเล่นสีของเสื้อ ทำให้ดูดี เก๋ไปอีกแบบ มั่นใจที่จะใส่ เพราะไม่ได้เวอร์มาก แบบเรียบๆ พอใช้ได้
ร้านนี้จะประดับด้วยเสื้อเกือบเต็มทั้งร้าน บางตัวถูกห้อยโหนด้วยหุ่นแล้วแขวนลงมา บางตัวถูกแขวนเรียงกันในร้านเป็นแถว บางตัวถูกก็แขวนกับราวที่มีความสูงไม่มากนัก และบนชั้นก็ยังมีผ้าหลากหลายสี หลากหลายแบบวางเป็นชั้น พอที่จะเห็นเป็นสีสันในการตกแต่งร้านได้ เช่นเดิม การสนทนาซื้อเสื้อกับแม่ค้าก็จะเป็นภาษามลายูกลางบ้าง ท้องถิ่นบ้างเอาแบบพอถูไถ่ไปได้ การต่อรองกับแม่ค้าเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ต่อแล้วต่ออีก ชมแล้วชมอีก จากตัวละ 350 ได้เพียงแค่ 300 บาท รวมสองตัว 600 บาท ราคาก็ไม่สูงมากนัก ยังพอได้อยู่ แต่ชอบตรงเธอเป็นคนยิ้มง่าย ไม่โกรธเวลาที่เราลองหลายๆตัว เธอก็จะหาสีที่เราต้องการ และชอบตรงที่เธอชักชวนให้มาเที่ยวปีนังตลอด บอกว่า คนปีนัง ใจดี สถานที่สวยอย่างโน้นอย่างนี้ ไอ้เราก็พูดมากด้วย เลยฟังไป ขำไป เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็คุยกันรู้เรื่อง
เดินออกจากร้านด้วยการ โบกมือของแม่ค้า ส่วนเรายังไม่โบกแผนที่ตั้งไว้ คือ ตามล่า รูปภาพฝาผนังต่อ ก็ได้ภาพหลายภาพพอสมควร เพื่อนได้บอกว่า ที่เมืองไทยก็มีคนวาดแบบนี้ เยอะอยู่แถมเชื่อว่าฝีมือคนไทยสวยมาก ใช่ ไอ้เราก็ว่าความคิดนี้ถูก เพียงแต่ว่า คนบ้านเรายังไม่เปิดพื้นที่ตรงนี้หรือเปล่า ไม่แน่หากมีพื้นที่สักที่ หรือเพ้นท์ตามสถานที่เก่าๆ ให้มันดูเก๋ขึ้น อาจจะเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเพิ่มอีก และ ไม่แน่คนปีนังอาจจะลงมาเที่ยวตามล่า Street Art บ้านเราเหมือนเราตามล่า Street Art บ้านเขา รูปภาพผนังที่เจอไม่ได้อยู่เป็นกลุ่ม ก็จะอยู่กระจัดกระจายออกไป เจอบ้างไม่เจอบ้าง แต่ระหว่างทางการหา Street Art ก็เจอ Masjid Kapitan keeling เป็นมัสยิดที่อยู่ริมถนน สวยงาม โทนสีสุดคลาสิคมาก ชอบๆ ซึ่งส่วนตัวคิดว่า การถ่ายรูปสถานที่สำคัญๆ ที่สวยๆ หากจะดีที่สุดคงต้องเป็นเดินมากกว่านั่งรถแท็กซี่ แต่หากไกลๆ ก็จะเป็นรถเมล์ มันจะได้รสชาติของการเที่ยวมากกว่า
เวลาก็เกือบจะหกโมงแล้วเลยตัดสินใจเดินไปเข้าห้าง ห้างเขาก็ไม่มีอะไรที่พิเศษมากมาย ซึ่งสินค้าบางอย่างก็จะเหมือนที่บ้านเรา หรือไม่แน่อาจจะมาจากที่บ้านเรา เดินไปเรื่อยๆ อาหารมุสลิมก็ไม่มี ดีที่ซื้อบะหมี่ในเซเว่นกักตุ่นไว้ เพื่อกินรอบเย็น ออกจากห้างประมาณ หนึ่งทุ่มเกือบสองทุ่มเลยตัดสินใจเดินกลับหอ แต่ระหว่างทางกลับโรงแรมจะมีผู้ชาย สาม คนที่ทำให้ใครเห็นเป็นอันต้องมอง ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย หรือผู้หญิงก็ต้องมอง คนแรก เป็นผู้ชายรูปร่างสูง หัวล้านอายุประมาณ สี่สิบกว่า จะมองคนผ่านไปผ่านมาอย่างตั้งใจ แล้วจะเดินตาม หากเดินช้า ก็จะโดนตามติดๆ แต่หากรีบเดินแล้วไม่สนใจ เขาก็จะไม่เดินตาม ผู้ชายคนที่สอง รูปร่างเล็ก ที่มือจะมีร่มถูกกำไว้ แล้วทำท่าโบกมือ เหมือนจราจรบนถนนในกลางวัน พอตอนกลางคืน ก็คุยคนเดียว อายุก็น่าจะประมาณ สี่สิบ ห้าสิบ ส่วนผู้ชายคนที่สาม โดนกับพวกเราเต็มๆ คือ ตอนขากลับหลังจากเดินห้างกำลังจะเข้าที่พัก เวลาขณะนั้นคนที่จะข้ามถนนมีเพียงพวกเรา และ กับชายอินเดียอีกคน เขาน่าจะเป็นคนอินเดียเพราะโครงหน้า การแต่งตัวสามารถเดาได้ว่าเป็นคนอินเดีย รูปร่างอ้วน มีหนวดกับเครายาวพอสมควร แถมแววตาดุดันมาก เขา ตะโกนเหมือนจะด่าใคร ดังมาก แล้วเขาหันมาตะโกนใส่เรา ซึ่งระยะห่างตอนนั้นระหว่างเรากับ เรา ไม่เกินสิบก้าว ไอ้เราก็คนซื่อคิว่าเขาคงจะด่าใครคนด้านหลังเราหรือเปล่า แต่ไม่เลย ข้างหลังไม่มีใคร อ้าว! ซวยแล้ว ซวยแล้ว อ้าว! ยังไม่หยุดอีก ยังไม่หยุดตะโกนอีก เอาว่ะ รีบเดินเข้าไปหา พี่คนอินเดียที่กำลังจะข้ามถนนพอดี รีบเดินสุดๆ แอบถามเพื่อนว่า เขาเดินตามป่าวว่ะ “ ไม่ที” ฮาโรย โล่ง นี่แหละ ผู้ชายสามคนที่ทำเอาคนผ่านไปผ่านมาต้องมองพวกเขา และเมื่อเจอก็ต้องรีบเดิน แต่เข้าใจนะคะว่า พวกเขาแค่ป่วยเท่านั้นเอง มีสิทธิ์ที่จะหาย
เวลา ประมาณ สองทุ่มกว่าเดินมาถึง โรงแรม คือ เตรียมใจตั้งแต่แรกแล้วว่าหากมีแขกมาเพิ่มในห้องที่จองไว้เป็นผู้ชาย ขอเอาตัวมาโน้มนอนที่โซฟาแล้วกัน พอเข้าไปถึงหน้าห้องตัวเอง สังเกตรองเท้า เริ่มจะมีความหวัง เพราะรองเท้าเหมือนของผู้หญิง ก็ทำการเปิดกุญแจอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะให้ความคิดเมื่อสักครู่เป็นจริง แต่แล้ว เย้ ! อัลฮัมดุลลิลาฮ เป็นผู้หญิง โล่งมากเลยตอนนั้น พี่เขาสามคนมาจาก นครศรีธรรมราช เพิ่งเข้ามาโรงแรมวันนี้ ก็ได้พูดคุยสนทนากันหนักมากเพราะได้เล่าเรื่องเมื่อคืนให้พี่เขาฟัง เขาเห็นใจ และดีใจกับพวกเราว่า คืนนี้คงไม่ต้องนอนที่โซฟา “ 555 ขอบคุณมากค่ะพี่ รอดจนถึง คืนสุดท้าย อัลฮัมดุลลิลาฮ “ ก็จัดการธุระส่วนตัวเสร็จรวมถึงการปฏิบัติศาสนกิจเสร็จก็ทำการเล่นซ่อนตาดำทันที คือวันนี้ไม่รู้เดินกี่กิโล ไม่ได้นับว่าเดินหลงซอยกี่ซอย คืออาการเมื่อยเท้าเริ่มมาทักทาย อาการหิวก็เริ่มมาเวียนวนในท้อง จึงทำการจัดการกับ บะหมี่หนึ่งกล่องที่ได้มาจากเซเว่นพอได้ประทังความหิวไปคืนนี้ก่อน แต่วันนี้สุดๆ โอเค !สนุกมาก คือ ได้บอกกับเพื่อนก่อนหน้านั้นแล้วว่า หากฉันเท้าไม่เจ็บ เท้าไม่เมื่อย แสดงว่ายังเดินไม่มากพอยังไม่มาถึงสถานที่ท่องเที่ยว แต่วันนี้เราเดินจนขาลากกลับมาถึงโรงแรมอย่างปลอดภัยถือว่า โอเค! แล้ว ราตรีสวัสดิ selamat malam