Skip to main content

 ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนด้านสิทธิมนุษยชนและกฎหมายจากความรุนแรงทางการเมือง (ศรส.)

HR and Legal Assistance Center for those affected from Political Turmoil (HLAC), Thailand
อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา เลขที่ 14/16 ถนนราชดำเนินกลาง เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200 
โทร.  086-0808-767 และ 086-0808-477 โทรสาร 026221014 อีเมล์ [email protected]
                                                                                                           
 
ตารางเปรียบเทียบการจับกุมและควบคุมตัวบุคคลตามประมวลกฎหายวิธีพิจารณาความอาญา
และพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘
 
กรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
กรณีตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
 
๑. การจับกุมและคุมขัง
     กรณีทั่วไป การจับต้องมีหมายจับ เว้นแต่
-                    บุคคลนั้นกระทำผิดซึ่งหน้าที่เจ้าพนักงานผู้จับเป็นผู้เห็นเอง หรือ
-                    บุคคลนั้นมีพฤติการณ์อันควรสงสัยว่าน่าจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น โดยมีเครื่องมือ อาวุธหรือวัตถุอย่างอื่น หรือเป็นการจับเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำผิดขึ้นและไม่อาจขอหมายได้ทัน
-                    มีเหตุด่วนจำเป็นที่ไม่อาจขอให้ศาลออกหมายจับได้
-                    การจับผู้ต้องหาหรือจำเลยที่หนีหรือจะหลบหนีในระหว่างถูกปล่อยชั่วคราว
ข้อจำกัด -  การจับกุมบุคคลไม่ว่าจะมีหมายหรือไม่นั้น ห้ามจับในที่รโหฐานเว้นแต่มีหมายค้นและต้องค้นในเวลากลางวัน ยกเว้นกรณีเข้าข้อยกเว้นที่สามารถค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายศาลหรือข้อยกเว้นที่อาจค้นในเวลากลางคืน 
 
 
๑. การจับกุมและควบคุมตัว
  การจับกุมตัวบุคคลต้องสงสัย จะต้องขออนุญาตศาลให้ออกหมายจับตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เว้นแต่
-                    บุคคลนั้นกระทำผิดซึ่งหน้าที่เจ้าพนักงานผู้จับเป็นผู้เห็นเอง หรือ
-                    บุคคลนั้นมีพฤติการณ์อันควรสงสัยว่าน่าจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น โดยมีเครื่องมือ อาวุธหรือวัตถุอย่างอื่น หรือเป็นการจับเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำผิดขึ้นและไม่อาจขอหมายได้ทัน
-                    มีเหตุด่วนจำเป็นที่ไม่อาจขอให้ศาลออกหมายจับได้
     การจับกุมในที่รโหฐานนั้น สามารถเข้าไปจับกุมได้โดยอาศัยอำนาจค้นตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งสามารถค้นได้ทั้งในเวลากลางวันและในเวลากลางคืน แต่การจับกุมจะต้องมีหมายจับตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือเป็นกรณีที่สามารถจับได้โดยไม่ต้องมีหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา    
  หลายกรณีเป็นการจับกุมโดยอาศัยอำนาจตาม พรก.ฉุกเฉิน ซึ่งต่อมาหากมีการแจ้งข้อกล่าวหา เช่น ข้อหาฝ่าฝืนประกาศตาม พรก. ฉุกเฉิน หรือ ข้อกล่าวหาตาม พรบ.อาวุธปืน เป็นต้น ผู้ต้องสงสัยก็จะกลายเป็นผู้ถูกกล่าวหา และต้องนำตัวเข้าสู่กระบวนการฝากขังต่อ ป.วิ.อาญา หรือกระบวนการพิจารณาคดีต่อไป ทั้งนี้ การฝ่าฝืนประกาศตาม พรก.ฉุกเฉิน โทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (แผนผังลำดับที่ 1)
 
๒. สิทธิของผู้ถูกจับกุมและถูกคุมขัง
-สิทธิได้รับการแจ้งข้อหาและรายละเอียดแห่งการจับ รวมถึงผู้จับต้องแสดงหมายต่อผู้ถูกจับ (หากมี)
-สิทธิแจ้งให้ญาติหรือผู้ซึ่งตนไว้ใจทราบถึงการจับกุมในโอกาสแรก
-เจ้าพนักงานผู้จับต้องแจ้งแก่ผู้ถูกจับถึงสิทธิที่จะไม่ให้การและถ้อยคำที่พูดอาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ในชั้นพิจารณา
-สิทธิที่จะพบและปรึกษาทนายความ
-สิทธิได้รับการรักษาพยาบาล ในกรณีจำเป็น
-สิทธิในการให้ทนายความและผู้ที่ไว้ใจเข้าร่วมฟังการสอบปากคำ
-สิทธิที่จะมีล่าม หากไม่เข้าใจภาษาไทย
-สิทธิขอสำเนาคำให้การ
-สิทธิในการยื่นคำร้องขอประกันตัวต่อพนักงานสอบสวน
-สิทธิยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ปล่อยตัวหากมีการคุมขังไม่ชอบด้วยกฎหมาย
 
๓. ระยะเวลาในการควบคุมตัว
  การควบคุมตัวที่สถานีตำรวจได้ไม่เกิน ๔๘ ชั่วโมง หากจะทำการควบคุมตัวต่อ จะต้องนำผู้ถูกจับกุมไปยังศาลเพื่อขออนุญาตควบคุมตัวต่อโดยออกหมายขัง ณ เรือนจำหรือสถานที่อื่นที่ศาลกำหนด ทั้งนี้ ศาลอาจออกหมายขังได้ไม่เกินครั้งละ ๑๒ วัน  และศาลจะต้องไต่สวนทุก ๑๒ วันเพื่อพิจารณาว่ายังมีเหตุอันควรควบคุมตัวอยู่หรือไม่
-สำหรับความผิดที่มีโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน๖เดือน ศาลจะออกหมายขังรวมกันได้ไม่เกิน๗วัน
-สำหรับความผิดที่มีโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน๑๐ปี ศาลจะออกหมายขังรวมกันได้ไม่เกิน๔๘วัน
-สำหรับความผิดที่มีโทษจำคุกอย่างสูง๑๐ปีขึ้นไป ศาลจะออกหมายขังรวมกันได้ไม่เกิน๘๔วัน
 
๒. สิทธิของผู้ถูกจับกุมและถูกควบคุมตัว
- สิทธิได้รับแจ้งข้อเท็จจริงและเหตุแห่งความสงสัยว่ามีความเกี่ยวข้องกับการทำให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน
- การจับกุมตัว พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงหมายจับตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินแก่บุคคลผู้ต้องสงสัยก่อนเข้าจับกุม
-เมื่อมีการจับกุม พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องจัดทำรายงานการจับกุมเสนอต่อศาลที่ออกหมายพ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่อให้ญาติของผู้ถูกจับสามารถตรวจสอบได้
-สิทธิในการพบญาติหรือบุคคลที่ผู้ต้องสงสัยไว้ใจ
-สิทธิในการพบและปรึกษาทนายความเป็นการส่วนตัว
-สิทธิได้รับการรักษาพยาบาล เมื่อเจ็บป่วย
-สิทธิในการให้ทนายความและผู้ที่ไว้ใจเข้าร่วมฟังการสอบปากคำ
-สิทธิที่จะมีล่าม หากไม่เข้าใจภาษาไทย
-สิทธิขอสำเนาบันทึกการซักถาม
-สิทธิยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ปล่อยตัวหากมีการคุมขังไม่ชอบด้วยกฎหมาย
 

๓. ระยะเวลาในการควบคุมตัว
  บุคคลผู้ต้องสงสัยตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินจะถูกควบคุมตัวไว้ ณ สถานที่ตามคำสั่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินได้ไม่เกินคราวละ ๗ วัน แต่หากพนักงานเจ้าหน้าที่เห็นว่ายังมีเหตุในการควบคุมตัวต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่จะต้องนำตัวบุคคลผู้ต้องสงสัยนั้นไปยังศาลเพื่อให้อนุญาตให้ควบคุมตัวต่อ ทั้งนี้ รวมระยะเวลาทั้งสิ้นต้องไม่เกิน ๓๐ วัน เมื่อพ้นระยะเวลา ๓๐ วันแล้วจะต้องได้รับการปล่อยตัว แต่หากมีหมายจับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ก็อาจถูกจับกุมตามกระบวนการในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาต่อไป
๔. สถานที่ควบคุมตัว
   ๑) สถานีตำรวจ (กรณีควบคุมก่อนฝากขัง)
  ๒) เรือนจำ (กรณีขอฝากขังต่อศาลและศาลอนุญาต หรือขังระหว่างพิจารณาคดี)
 
   กรณีขอฝากขังต่อศาลอาญาหรือศาลแขวงในกรุงเทพฯ แม้เป็นกรณีการจับกุมโดยอาศัยอำนาจตาม พรก.ฉุกเฉิน หากต่อมาถูกแจ้งข้อกล่าวหาและนำตัวไปขอฝากขังต่อศาลตามข้อ ๓ ผู้ถูกกล่าวหาจะถูกนำไปควบคุมตัวที่
  ๑) เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
  ๒) ทัณฑสถานหญิงกลาง
๔. สถานที่ควบคุมตัว
ตามประกาศ ศอฉ.
  ๑) บก.ตชด.ภ.1 จ.ปทุมธานี
 ๒) บก.ตชด.13 จ.กาญจนบุรี
 ๓) บก.สนับสนุนทางอากาศ
 ๔) บก.ตชด.จ.ประจวบคีรีขันธ์ ศูนย์ทหารม้า จ.สระบุรี
 ๕) กรมการทหารช่าง จ.ราชบุรี และ
 ๖) กองบัญชาการช่วยรบที่1 จ.ชลบุรี
  หากไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาและนำตัวผู้ถูกควบคุมตัวฝากขังต่อศาลตามกระบวนการตาม ป.วิ.อาญา ก็จะต้องปล่อยตัว เว้นแต่ศาลจะอนุญาตให้ควบคุมตัวตาม พรก.ฉุกเฉิน ต่อได้ ตามข้อ ๓
 
๕. การค้น
        ห้ามทำการค้นตัวบุคคลในที่สาธารณสถาน เว้นแต่กรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลนั้นมีสิ่งของในความครอบครองเพื่อจะใช้ในการกระทำความผิด หรือซึ่งได้มาโดยการกระทำความผิดหรือซึ่งมีไว้เป็นความผิด
        ห้ามทำการค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นซึ่งออกโดยศาล เว้นแต่
-                    มีพฤติการณ์ที่แสดงว่ามีเหตุร้ายเกิดในที่รโหฐาน
-                    ปรากฎความผิดซึ่งหน้าในที่รโหฐาน
-                    เมื่อบุคคลที่ทำความผิดซึ่งหน้า ขณะถูกไล่จับหนีเข้าไปซ่อน
-                    เมื่อมีพยานหลักฐานตามสมควรว่า สิ่งของที่มีไว้เป็นความผิดหรือได้มาโดยการกระทำความผิดหรือได้ใช้หรือมีไว้เพื่อจะใช้ในการกระทำความผิด หรืออาจเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์การกระทำความผิดได้ซ่อนอยู่ในนั้น โดยมีเหตุอันควรเชื่อว่าหากรอไปดำเนินการขอหมายค้น สิ่งของนั้นจะถูกโยกย้ายหรือทำลาย
-                    กรณีผู้จะถูกจับเป็นเจ้าบ้าน และการจับมีหมายจับหรือเป็นกรณีที่จับได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ
  การค้นในที่รโหฐานจะต้องทำเฉพาะในเวลากลางวัน เว้นแต่เป็นกรณีการค้นต่อเนื่อง หรือ กรณีฉุกเฉินอย่างยิ่ง
  การค้นในที่รโหฐาน จะต้องกระทำต่อหน้าผู้ครอบครองสถานที่หรือบุคคลในครอบครัวของผู้นั้น ถ้าหาไม่ได้ให้ทำการค้นต่อหน้าพยานอย่างน้อย๒คน
  เจ้าพนักงานผู้ค้นจะต้องทำการบันทึกรายละเอียดแห่งการค้น และสิ่งของที่ค้นได้นั้นต้องมีบัญชีรายละเอียดไว้ แล้วอ่านให้ผู้ครอบครองสถานที่ บุคคลในครอบครัว ผู้ต้องหา จำเลย ผู้แทน หรือพยานแล้วแต่กรณี แล้วให้ผู้นั้นลงลายมือชื่อรับรองไว้
๕. การค้น
     การค้นตัวบุคคลเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
       พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจออกคำสั่งตรวจค้นอาคาร ตามความจำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อระงับเหตุการณ์ร้ายแรงให้ยุติโดยเร็วและหากปล่อยเนิ่นช้าจำทำให้ไม่อาจระงับเหตุการณ์ได้ทันท่วงที
๖. การคัดค้านการควบคุมตัว
     ผู้ถูกคุมขัง สามี ภริยา ญาติ หรือบุคคลอื่นเพื่อประโยชน์ของผู้ถูกคุมขัง มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลทำการไต่สวนความชอบด้วยกฎหมายของการคุมขัง หากศาลเห็นว่าการคุมขังเป็นไปโดยไม่ชอบให้สั่งปล่อยตัวทันที
๖. การคัดค้านการควบคุมตัว
   ผู้ถูกควบคุม สามี ภริยา ญาติ หรือบุคคลอื่นเพื่อประโยชน์ของผู้ถูกควบคุม มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลทำการไต่สวนความชอบด้วยกฎหมายของการควบคุม หากศาลเห็นว่าการควบคุมเป็นไปโดยไม่ชอบให้สั่งปล่อยตัวทันที
๗. การคัดค้านการขอฝากขัง
     ผู้ต้องหามีสิทธิแถลงคัดค้านการขอฝากขังได้  หากปรากฏว่าไม่มีเหตุจำเป็นต้องฝากขังเพื่อการสอบสวนหรือการฟ้องคดี  โดยทุกครั้งที่มีการขอฝากขัง     ศาลจะถามผู้ต้องหาว่าจะคัดค้านการขอฝากขังหรือไม่  หากคัดค้าน  ศาลอาจเรียกพนักงานสอบสวนมาชี้แจงเหตุจำเป็นหรือเรียกพยานหลักฐานมาประกอบการพิจารณาก็ได้  ทั้งนี้  ผู้ต้องหามีสิทธิตั้งทนายความเพื่อแถลงข้อคัดค้านและซักถามพยานได้  ถ้าผู้ต้องหาไม่มีทนายความ และผู้ต้องหาร้องขอ  ให้ศาลตั้งทนายความให้ 
๗. การคัดค้านการขอขยายระยะเวลาการควบคุมตัวต่อ
     ในกรณีที่มีการร้องขอต่อศาลเพื่อขยายระยะเวลาการควบคุมตัวต่อ ผู้ถูกควบคุมตัวมีสิทธิแถลงคัดค้านการขอขยายระยะเวลาการควบคุมตัวต่อได้  หากปรากฏว่าไม่มีเหตุจำเป็นต้องควบคุมตัวต่อเพื่อประโยชน์ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน  โดยทุกครั้งที่มีการขอขยายระยะเวลาการควบคุมตัว  ศาลจะถามผู้ถูกควบคุมตัวว่าจะคัดค้านการขอขยายฯหรือไม่ หากคัดค้าน  ศาลอาจเรียกเจ้าหน้าที่มาชี้แจงเหตุจำเป็นหรือเรียกพยานหลักฐานมาประกอบการพิจารณาก็ได้  ทั้งนี้  ผู้ถูกควบคุมตัวมีสิทธิตั้งทนายความเพื่อยื่นคำร้องคัดค้านการขอขยายระยะเวลาควบคุมตัวและซักถามพยานได้  ถ้าผู้ถูกควบคุมตัวไม่มีทนายความ และผู้ถูกควบคุมตัวร้องขอ  ให้ศาลตั้งทนายความให้
๘. การขอปล่อยตัวชั่วคราว(ประกันตัว)
ผู้ต้องหา จำเลย หรือผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้อง  มีสิทธิยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว (ประกันตัว) ต่อพนักงานสอบสวนหรืออัยการ หรือศาล แล้วแต่กรณี โดยพิจารณา 1)ความหนักเบาของข้อหา 2)พยานหลักฐานที่ปรากฏแล้วมีเพียงใด 3)พฤติการณ์ต่างๆแห่งคดี 4)เชื่อถือผู้ร้องขอประกันและหลักประกันได้เพียงใด 5) ผู้ต้องหาหรือจำเลยมีพฤติการณ์จะหลบหนีหรือไม่ 6)ภัยอันตรายหรือความเสียหายที่จะเกิดจากการปล่อยตัว 7)มีคำคัดค้านของพนักงานสอบสวน อัยการ โจทก์ หรือผู้เสียหาย