"#ปอเนาะญิฮาดวิทยา" ญิฮาดแห่งสันติวิธี มีอยู่จริง !
พรินซ์ อเลสซานโดร
.
การใช้อำนาจที่ดี หนึ่งคือการมีเหตุผล
บนความยุติธรรมเท่าเทียมมาตรฐานเดียวแล้ว
.
สิ่งที่ไม่ควรละทิ้งใดๆเลย
คือการปลูก "มนุษยธรรม" ให้งอกงาม
.
อาจเป็นเพราะ "อำนาจ" คือสิ่งแหลมคม
ทิ่มแทงที่ใด ย่อมเกิดการปะทะ ท้าทาย
.
"มนุษยธรรม" ในการใช้อำนาจ จึงเปรียบเสมือนยาขม
ที่นอกจากจะรักษา "ผู้ใช้อำนาจ" แล้ว ยังค้ำจุ้น "ผู้ถูกใช้อำนาจ" ด้วย
.
เราจึงเห็น ผู้ใช้อำนาจที่เปี่ยมคุณธรรมหลายๆ ท่าน
ที่มีอำนาจคล้ายๆกับปุยนุ่น ประชาชนยอมรับ ประเทศชาติสงบสบาย
.
ไม่ใช่ว่า "ไม่มี" อำนาจใดเลย
แต่เพราะ "ภูมิคุ้มกัน" ทางอำนาจเข้มแข้งอยู่
"คำสั่ง" เลยกลายเป็น "ประกาศิต" ทุกคนยอมรับ น้อมปฏิบัติตาม
.
งานการกุศลที่ทุกคนรวมใจจัดขึ้นเพื่อสถาบัน "ปอเนาะญิฮาด" ในพื้นที่อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา มีปรากฏการณ์"น่าใส่ใจ"ต่อ"ผู้ใช้อำนาจ"แสดงออกมาหลายจุด (ใคร่ขอเสนอเพียงสามจุดคร่าวๆ ให้แลมองเห็น)
.
ก่อนจะพิชิตสามจุดดังว่านี้
ใคร่ปูทางให้ทราบถึงธรรมชาติของการรวมตัวของประชาชนนี้
เห็นจะเกิดขึ้นได้ด้วยสามประการสาเหตุด้วยกัน
.
ไม่ A--> "รวมตัวด้วยใจ" เรียกว่าการชุมนุม (งานรื่นเริงหรืองานพิธีจะอยู่ในข้อนี้เช่นกัน)
ก็ B--> "มาด้วยการบังคับ" (ชื่อนี้ชัดเจนในคำเรียกอยู่แล้ว)
หรือ C--> "อุบัติภัยข้องใจหมู่" ที่เราคุ้นเคยเรียกว่า ประท้วง
.
เอาล่ะ ...ว่าต่อไปเลยนะครับ ,,
.
#จุดที่หนึ่งคือ แรงใจที่บรรดาประชาชนอันเป็น "ผู้ถูกใช้อำนาจ" ในขณะนี้ (รวมระยะเวลามากกว่าทศวรรษ) รวมตัวกันได้อย่างเหนียวแน่น
.
ราวประหนึ่งว่าการเข้ามาร่วมงานในครั้งนี้
เป็นเพราะใจเรียกร้อง ทำนองสมัคร
แม้นไม่รู้จักเจ้าของสถานที่ แต่ก็ต้องไป
(คำถามซ้อนในจุดนี้คือ "ทำไม ?")
.
ปรากฏการณ์ "ข้าวยำรวมใจ" เมื่อวันวาน ข้อ ๑ ดูจะแสดงสัญลักษณ์ออกมาได้เจนชัดที่สุด
.
ไม่แปลกที่ "ฐานอำนาจ" กำเนิดให้เห็น
ที่แม้นไม่ได้ทิ่มแทงใครให้ลำบากหรือตายจาก
แต่พลังนั้นกลับ "เขย่า" เก้าอี้ของคณะผู้ใช้อำนาจในพื้นที่
ให้สะเทือนหนักเช่นเดียวกัน
.
#จุดที่สอง คือพัฒนาการในการใช้อำนาจปัจเจก ที่รวมปัจเจกกลายเป็นกลุ่มชน แสดงออกซึ่งการยืนอยู่ตรงข้าม(ผลของ)อำนาจรัด (รัฐ) ในรูปแบบเชิงสันติวิธี อิ่มอกอิ่มใจด้วยการช่วยเหลือ และเข้มแข็งบนแนวทาง "อารยะขัดขืน" ในจานข้าวยำ
.
จุดนี้ อาจถือเป็น "บรรทัดฐาน" การแสดงออกเชิงอำนาจโฉมใหม่ ในพื้นที่แห่งความไม่สงบ ที่เดินมาถึงการแสดงออกโดยสงบ โดยเจ้าของพื้นที่เอง
.
#จุดที่สาม รูปแบบของการใช้อำนาจรัด (รัฐ) ("ควร"หรือ"จะ")ถูกทบทวน
การใช้กำลังบังคับ กลายเป็นสิ่งล้าสมัย และกลายเป็นฉนวนเหตุให้เกิดปัญหาเพิ่มมากขึ้น
.
สังเกตเห็นจากข้อความแพร่ไปว่า หากใครไปงานนี้ เจ้าหน้าที่รัด(รัฐ) จะแสดงความไม่พอใจ และขัดขวางหรือทำให้การเดินทางล่าช้า (จริงไม่จริงไม่ทราบ แต่แสดงให้เห็นถึง "จุดยืน" ที่แสดงออกผ่านข้อความได้อย่างดี)
.
บังลังค์อำนาจแห่งกฏหมาย มิเคยเป็นความหวังของประชาชนส่วนใหญ่ อันเนื่องจากความจริงที่ว่า "กฏรัฐนั้นบิดไปมาได้ ตราบใดที่ผู้ใช้อำนาจไม่ใช้ความยุติธรรมเพียงพอ"
.
"ศรัทธาในศาสนา" จึงกลายเป็น"ความหวังหลัก" ที่ห่างชั้นกันไกลนักกับ "กฏหมายแผ่นดิน"
.
ประกอบกับการแสดงออกของรัฐ(ในพื้นที่นี้) มักจะใช้ "กำลัง" ให้เท่ากับ "ความยุติธรรม" เสมอ ทำให้ทางออกของการยอมรับในอำนาจแคบลงมากขึ้น
.
เมื่อการยอมรับน้อยลงเท่าใด การต่อต้านหรือขัดขืนจะทวีกำลังเพิ่มขึ้น
.
ตราบใดที่ยังตั้งทัศนคติที่ว่าการได้มาซึ่งอำนาจล้วนต้องใช้กำลังนั้น ทำให้ "มนุษยธรรม" ในการอยู่ร่วมกันลดน้อยลง มีผลโดยตรงต่อสันติภาพที่ถอยหลัง พังความไว้วางใจให้ห่างกันไกลขึ้น
.
สามจุดใหญ่ที่นำเสนอไปคร่าวๆนี้ พอจะฉายแสงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์และแนวคิดของการใช้อำนาจของทั้ง "ผู้ใช้" และ "ผู้ถูกใช้"
.
น่าสนใจที่พัฒนาการในการสะสางปัญหาระหว่างกัน จะดำเนินไปในรูปแบบเชิงสันติ ท่ามกลางการต่อสู้ทั้งในด้านอาวุธ นโยบาย หรือการแย่งชิงมวลชน
.
เหตุการณ์ "ข้าวยำรวมใจ" ยืนตรงประกาศก้องให้เห็นถึง "การรับรู้ของประชาชน" ที่มีพัฒนาการในการแสดงออกท่ามกลางความขัดแย้งในพื้นที่
.
"สันติภาพ" คือสิ่งที่เพรียกหา
พลังแห่งปวงประชาคือสิ่งที่รัฐยึดไม่ได้
แม้นจะใช้ "กฏหมาย"ข้อไหน
ความถูกต้องแห่งศรัทธามิอาจกลืน
.
#PrinceAlessandro
20-03-2016