เมื่อวาน ผมได้ร่วมเสวนา 30 ปีองค์กรพัฒนาเอกชนภาคใต้ที่สถาบันทักษิณคดีศึกษา สงขลา ผมบอกไปว่า "วิธีคิดที่ครอบงำโลกในปัจจับัน คือ วิธีคิดสายอรรถประโยชน์นิยม แปลว่าบวกลบเลขว่าทำแบบนี้แบบนั้นแล้วตัดสินใจว่าคุ้มไม่คุ้ม
เช่น กรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินบวกลบเลขแล้วคุ้ม แม้ต้องย้ายชุมชน 240 ครัว ย้ายกุโบร์ที่เทพา มันคุ้ม! คนจนต้องเสียสละ
เราจะสร้างท่าเรือน้ำลึก ประมงพื้นบ้านไม่กี่ร้อยลำหาปลาไม่ได้ ทะเลพังไปบ้าง หาดทรายหายไปบ้างมันคุ้ม คนจนและธรรมชาติต้องเสียสละ
เราจะสัมปทานขุดเจาะน้ำมันที่เกาะสมุย แม้ต้องแลกกับโอกาสเสี่ยงจากการปนเปื้อนน้ำมันและสารพิษในแหล่งท่องเที่ยว แต่มันคุ้ม! ต้องอพยพชุมชนและโค่นป่าสามสี่พันไร่เพื่อสร้างอ่างเก็บน้ำที่พัทลุง มันคุ้ม! นี่คือวิธีคิดของคนมีอำนาจ ของภาครัฐและทุน ทำไมเราถึงค้านได้ทุกเรื่อง ก็เพราะเราไม่ได้รู้สึกกับแนวคิดบวกเลขลบแล้วคุ้มนั่นเอง เรารับไม่ได้ที่คนจนต้องเสียสละอยู่ร่ำไป ที่สำคัญมันไม่ใช่การเสียสละ มันคือการรังแกคนจน
ทางออกในวันนี้ คืออะไร เป็นคำถามที่ยากมาก ผมตอบว่า "เรายังต้องยืนข้างคนจนคนยากต่อไปร่วมค้านทุกเรื่องต่อไป เราไม่ได้ค้านถ่านหิน เพราะมันคือ ถ่านหิน เราไม่ได้ค้านเขื่อนเพราะมันเป็นเขื่อน เราค้านทุกเรื่องเพราะนี่คือยุทธศาสตร์ที่เป็นหัวใจ คือ การลดอำนาจรัฐ เราค้านทุกเรื่องเพื่อการลดอำนาจรัฐ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มอำนาจประชาชนโดยปริยาย ค้านทุกเรื่องจนเมื่ออำนาจรัฐอ่อนแอ อำนาจประชาชนจะเข้มแข็งขึ้น เพื่อให้รัฐเปลี่ยนแปลงวิธีคิด เราจะได้ออกแบบสังคม เป็นเจ้าของสังคมมากขึ้น เราต้องขยันปฏิบัติการณ์ในมุมของเราต่อไป"
.