Skip to main content
 
 
 
 Deep South Bookazine : Volume 3
เรื่องสั้น : จรรยา อำนาจพันธุ์พงศ์
 
 
หมายเหตุ : สีสันในภาพนี้ได้ถูกลดทอนลงจากกระบวนการพิมพ์ (ตีพิมพ์ในวารสารดีพเซาท์บุ๊กกาซีน เล่มที่ 3)

(ภาพ : วิถีชีวิตมุสลิม | ศิลปิน : เจะอับดุลเลาะ เจ๊ะสอเหาะ | เทคนิค : สีฝุ่น)

 
 

1.

ที่รัก, วันนี้เป็นวันที่ดีสำหรับฉัน เสียงขับอาซานละหมาดซุบฮิ แว่วก้องมาจากท้ายหมู่บ้าน ปลุกฉันตื่นจากหลับใหลเหมือนเช่นทุกวัน แรกที่มาอยู่ในหมู่บ้านที่แวดล้อมด้วยผู้คนมุสลิม เสียงอาซานคือเสียงที่ทำฉันหงุดหงิดอยู่เสมอ แต่นานวันฉันก็ชินชากับมัน ราวคือส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ต่างก็แต่ฉันไม่ลุกจากที่นอนไปทำละหมาดเท่านั้นเอง ก็ฉันนับถือศาสนาพุทธ มีชีวิตอยู่ในความเชื่ออีกแบบหนึ่ง ซึ่งแตกต่างกับเธอมากมายเสียเหลือเกิน หากฉันพอใจจะอยู่ที่นี่ หมู่บ้านอันเงียบสงบ เฝ้ามองดูชีวิตผู้คนดำเนินวิถีชีวิตในแบบของอิสลาม อันถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ฉันปรารถนาจะเรียนรู้ทำความเข้าใจเพื่อใช้ในงานเขียนของฉัน เพื่อนฉันหลายคนเป็นมุสลิม พวกเขาเคร่งครัดในวัตรปฏิบัติ วิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ จึงดูเหมือนจะเป็นภาพขัดแย้งกับเหตุการณ์ในสามจังหวัดที่มุสลิมส่วนหนึ่งกำลังกระทำกับบ้านเกิดของตัวเองอย่างโหดร้ายและทารุณ

บังโส๊ะ เพื่อนนักเขียนรุ่นพี่ของฉัน ผู้ซึ่งเป็นแบบอย่างในฐานะนักเขียนที่ฉันชื่นชมผลงาน และผู้ที่สอนให้ฉันเขียนหนังสือ ทุกวันฉันจะไปนั่งนอนอยู่บ้านเขา ฉันช่วยเหลืองานบ้านทุกอย่างเท่าที่ทำได้ บังโส๊ะอารีต่อฉันเสมอ ที่บ้านบังโส๊ะมีหนังสือปรัชญาอิสลามหลายเล่ม หนังสือพวกนั้นได้ทำลายภาพลักษณ์อิสลามในแง่ร้ายไปจากความคิดฉัน ฉันพอจะเข้าใจมุสลิมมากขึ้น แต่ก็เป็นการอ่านเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเขียนของฉันเท่านั้น

ครั้งหนึ่ง ภรรยาของบังโส๊ะเคยออกปากจะหาสาวมุสลิมให้ฉันสักคน หล่อนบอกว่าฉันเป็นอิสลามได้ เพราะเป็นคนชอบชีวิตเรียบง่าย เที่ยวเตร่ไม่เป็น ไม่ทานเหล้า แต่นั่นมันนานมาแล้ว ฉันจะเป็นอิสลามได้อย่างไร อย่างน้อยการเปลี่ยนศาสนาคงมีปัจจัยอื่นนอกจากนั้นมากมาย ทั้งฉันคงไม่มีเหตุผลมากพอที่จะทำเช่นนั้น เว้นแต่ฉันจะหลงรักสาวมุสลิมสักคน บางทีฉันอาจทำเพื่อใครคนนั้น

กระทั่งเมื่อฉันรู้จักเธอ คบหากับเธอมานานปี ความรักระหว่างเราก็เกิดขึ้น ท่ามกลางความคลางแคลงสงสัยที่เกิดขึ้นในใจ เธอถามฉันเสมอถึงความแตกต่างของเรา ฉันจะเป็นอิสลามได้หรือเปล่า อีกทั้งหากพ่อแม่เธอล่วงรู้ว่าเธอเลือกชายต่างศาสนา พวกท่านคงไม่ยินยอม แล้วที่บ้านฉันอีกเล่า ฉันจะอธิบายพวกเขาอย่างไร คำถามร้อยแปดประเดประดังเข้ามาจนเราสับสน ยิ่งเธอเล่าว่าที่บ้านเธอเคร่งครัดกับศาสนากันทุกคน ยิ่งทำให้ฉันกังวลเป็นเท่าทวี ความรักของเราจึงดูเหมือนจะไร้ทางออก

เธอเคยพูดกับฉัน พร้อมยกตัวอย่างให้ฉันฟังสารพัด ชายต่างศาสนาบางคนเข้ามาเป็นอิสลามเพื่ออยากมีเมีย ตอนแรกก็ตั้งใจศึกษาดีอยู่หรอก นานไปพวกเขาเหล่านั้นก็เริ่มออกลาย ไม่อาจกลมกลืนหรือเปลี่ยนวิถีชีวิตเดิมๆ ออกไปได้ ทำในสิ่งที่ขัดกับหลักศาสนาจนไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ บางคนมีลูก ลูกก็สับสนในการเลือกแบบอย่าง เธอบอกเสมอว่า คำว่า อิสลามนั้น ต้องเป็นทั้งชีวิตและจิตวิญญาณ ไม่ใช่การรับเป็นอิสลามแล้วจะอยู่อย่างไรก็ได้ ฉันเชื่อเธอ เพราะบังโส๊ะพร่ำบอกฉันเช่นนั้น อิสลามสอนให้เกรงกลัวต่ออัลเลาะห์ การทำผิดข้อห้ามของศาสนาคือบาปหนาที่ต้องชดใช้ในโลกหน้า ฉันไม่รู้อะไรลึกซึ้งขนาดนั้นหรอก ทั้งฉันยังไม่คิดไปถึงขั้นนั้น ทุกสิ่งสำหรับฉันยังมืดมนในหนทาง มืดมนเพราะพ่อแม่เธอคงยากจะยอมรับฉันเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวเธอ

ฉันควรทำอย่างไรดี จึงจะเข้าถึงญาติของเธอได้ แล้วประตูบานไหนนะที่จะต้อนรับฉันไว้ในฐานะคนในครอบครัว

นี่เองฉันจึงดีใจจนบอกไม่ถูกเมื่อเธอให้โอกาสฉันไปบ้านเธอ แม้เป็นการไปในฐานะเพื่อนของเธอ โดยที่ไม่บอกให้พ่อแม่เธอรู้ว่า ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ไปร่วมงานบุญนุรีของเธอในวันพรุ่งนี้คือคนรักของเธอ

ทว่าสำหรับฉันแล้วอาจเป็นโอกาสเดียวที่ฉันจะรู้จักครอบครัวเธอมากขึ้น ดูว่าพวกเขามีท่าทีอย่างไรต่อคนต่างศาสนาที่ไปร่วมงานบุญอันยิ่งใหญ่หนนี้

 

 

2.

ฉันเปิดประตูบ้าน มองออกไปรอบๆ พบกับไอหมอกขาวหม่นปกคลุมยามเช้า มองไปทางไหนก็คล้ายเป็นเมืองหนาว ฉันสวมเสื้อกันหนาวเตรียมตัวไปตลาดหามื้อเช้ารองท้อง ขับรถไปตามถนน มองสองข้างทาง เห็นผืนอากาศเป็นสีตะกั่ว เด็กๆ ออกมาวิ่งเล่นบนท้องถนน ชายแก่จูงวัวหายไปในทุ่งสีหมอก อาซานยามเช้าขับกล่อมหมู่บ้านให้ตื่น ผู้คนเริ่มออกจากบ้าน มุ่งสู่มัสยิดทำละหมาดสรรเสริญขอพรจากองค์อัลเลาะห์ พระเจ้าองค์เดียวที่ยังความสงบและสันติ รวมถึงชี้แนวทางการดำเนินชีวิตให้แก่มนุษย์อย่างแท้จริง ฉันยังไม่มีโอกาสได้ทำเช่นพวกเขา แต่ศรัทธาเปี่ยมในหัวใจฉัน ทุกวันฉันศึกษาแนวทางอิสลาม ฉันจะได้เกิดใหม่อีกหนใช่ไหม?

สูดหายใจเข้าปอด แอบยิ้มกับตัวเอง วันนี้ฉันจะได้ไปหาเธอ เวลาเช่นนี้บ้านของเธอคงตกในท่ามกลางไอหมอกเหมือนกันสินะ เวลานี้เธอคงวุ่นอยู่กับการเตรียมต้อนรับญาติๆ ที่มาร่วมยินดีในงานบุญนุรีอันยิ่งใหญ่ บุญใหญ่ครั้งแรกที่แม่เธอกลับมาจากทำฮัจย์ที่เมกกะห์ ฉันรู้...เธอรอวันนี้ ร่วมยินดีกับแม่ รวมถึงได้พบปะญาติๆ อย่างพร้อมหน้า ฉันดีใจที่เธอได้กลับบ้าน บ้านที่ฉันคิดจินตนาการว่าคงแสนอบอุ่น อย่างเช่นที่เธอเคยเล่าให้ฉันฟังอยู่เสมอ ก่อนนี้ฉันคิดว่าคงหาโอกาสได้ไม่ง่ายนักที่จะได้ไปเห็นบรรยากาศแบบนั้นที่บ้านของเธอ ก็เรื่องของเรายังเป็นแค่เรื่องของเรา ญาติเธอยังไม่รับรู้ แต่ฉันก็รอวันนั้น...

ขับรถกลับจากตลาด ฉันทอดตามองไปสองข้างทาง หมอกหนาจางหายไปแล้ว แดดเช้าเริ่มส่องประกายสดใส หัวใจฉันเบิกบาน จินตนาการถึงบรรยากาศที่บ้านเธอ ใครบ้างที่เธอเคยเล่าให้ฉันฟัง น้าคนที่สติไม่เต็ม โต๊ะชาย โต๊ะหญิง แม่ผู้อารี พ่อที่เอาแต่ยิ้ม น้าของเธอ และญาติคนอื่นๆ โต๊ะจักรเย็บผ้า สวนหลังบ้าน ต้นไม้ อะไรอีกนะ ใครอีกนะ?

กลับถึงบ้าน ฉันจัดการกับมื้อเช้าด้วยชาร้อน และปาท่องโก๋ ชาร้อนวันนี้ไม่หวาน และรสชาติก็ไม่จืดชืด เป็นร้านที่เธอชอบกิน ไม่รู้สิ...ฉันติดใจชาร้านนี้เสียแล้ว ก็เธอละเอียดกับเรื่องกิน จนฉันต้องเป็นตามเธอไปด้วย มิน่า...ฉันจึงมีความสุขกับมื้อเช้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

อากาศเริ่มร้อนจ้า รถของเรากำลังออกจากตัวอำเภอสะเดาสู่บ้านลำไพล อำเภอเทพา ฉันรู้สึกตื่นเต้น หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ แม้เป็นพื้นที่ที่ไม่ค่อยเกิดเหตุรุนแรงเช่นที่อื่น แต่ระหว่างทางก็มีป้อมทหารอยู่สองจุด พวกเขากั้นสิ่งกีดขวางให้รถชะลอความเร็ว นายทหารหน้าเข้มโบกมือให้เราจอด เขาชะเง้อมองภายในรถ เมื่อไม่เห็นสิ่งผิดปกติเขาก็ให้เราผ่านไปโดยสะดวก ฉันอุ่นใจเล็กน้อยที่เห็นทหารวางมาตรการเข้มงวด แต่ยังอดสงสัยไม่ได้ ไกลไปจากนี่ ทำไมมีคนตายทุกวัน?

เพื่อนของเธอก็แสนดี บอกให้ฉันหลับบนรถ แต่จะหลับลงได้อย่างไร ตาฉันเบิกกว้าง เหม่อมองไปสองข้างทาง ต้นไม้เคลื่อนผ่านตา หนทางที่แสนคดโค้ง ซ้าย-ขวา สูง-ต่ำ บรรยากาศในหุบเขา ดูเย็นตาเย็นใจอย่างน่าประหลาด ไม้บางต้นเป็นไม้ใหญ่ ระโยงระยางด้วยเถาวัลย์ขนาดท่อนแขน ฉันมองภูเขาลูกย่อมๆ ที่ผ่านตา พลางครุ่นคิด ฉันจะก้าวข้ามภูเขาลูกนั้น โดยมีเธอเป็นแรงใจ ฉันผ่านมันไปได้ ฉันจะถากถางทางเส้นนั้นด้วยแรงพลังของฉัน ด้วยศรัทธาของฉัน และด้วยศรัทธาที่เธอมีต่อฉัน

รถเลี้ยวเข้าซอย ฉันขยับกาย ผ่อนหายใจยาว...

เฟิร์นข้าหลวงบนต้นนุ่น กระเช้าสีดา และปรงใบเรียวเล็ก ทักทายฉันราวคุ้นเคย บ้านสองหลังทอดตัวในร่มไม้ หลังทางขวามือคงเป็นบ้านเธอ  บ้านหลังเล็กๆ สีบ้านสวย บานหน้าต่างไร้เหล็กดัดเปิดแง้ม บานประตูเปิดกว้าง ใครคนหนึ่งในกลุ่มเราเรียกฉันไปนั่งในบ้าน โต๊ะรับแขกลวดลายสีน้ำตาล แจกันประดับเรียวไม้ฟอกสีวางเรียงริมผนัง ตรงผนังสูงจากโต๊ะรับแขกมีกรอบกระจกบานใหญ่บรรจุภาษาอาหรับสีทองเด่นชัด มองจากจุดนี้ออกไปด้านนอก คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่ส่งเสียงจอแจ ผสานกับเสียงจากบรรดาแม่ครัวที่กำลังวุ่นกับสำรับอาหาร

พ่อเธอเดินมาก่อน ฉันจำท่านได้จากภาพถ่าย หลังจากนั้นแม่เธอเดินตามมา ท่านมีสีหน้าเบิกบาน ยิ้มทักทายอย่างรีบร้อน แต่ซ่อนรอยอิดโรยจากการเดินทางไว้ภายใต้ชุดสีดำและแว่นหนาๆ นั้น ส่วนเธอสวมผ้าคลุมสีดำ เสื้อสีหวาน กระโปรงลวดลายละเอียดยิบ มองผิวเผินคล้ายปาเต๊ะ กำไลสีทองที่แขนข้างซ้ายสะท้อนประกายวาม เช่นเดียวกับใบหน้าของเธอที่แย้มยิ้มอยู่ตลอดเวลา

ฉันมองออกไปอีกทางนอกหน้าต่างด้านซ้าย หมากยืนต้นสูง ต้นไม้ทุกต้นดูร่มรื่นเย็นตา

หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้หรือบ้านของเธอ ผู้คนยิ้มบานอยู่ในชุดผ้าโสร่งหลากลวดลาย ผู้ชายในชุดเสื้อกุรงขาวสะอาด กะปิเยาะห์ครอบบนศีรษะ และวูบวาบด้วยฮิญาบหลากสีอ่อนพลิ้วยามเยื้องกรายของผู้หญิง

ว่าแต่เธอทำให้ฉันผิดหวังกับพ่อเธอเสียแล้วสิ...ไหนบอกท่านเอาแต่ยิ้ม ที่ฉันเห็นคือท่านเดินทักทายผู้คนด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง เป็นท่านนั่นล่ะที่จัดสำรับกับข้าวให้ฉันกับเพื่อนของเธอ กินเลยๆๆ ท่านกล่าวออกมา อึดใจต่อมาท่านก็พูดอีก ตามสบายเลยกินให้อิ่ม หรือแม้ขณะกินท่านก็ยังหยิบนั่นยื่นนี่ให้ไม่ขาดสาย

ฉันกินอย่างเขินๆ จนเพื่อนเธอต้องคอยตักกับใส่จานให้ แต่จานเดียวก็อิ่มอย่างบอกไม่ถูก ฉันเป็นเช่นนี้เสมอ หากได้ไปในที่ที่มีบรรยากาศสบายๆ และอบอุ่น รู้สึกว่าการกินนานๆ ทำให้เสียเวลาในการสอดส่ายสายตา เก็บรายละเอียดความประทับใจ ฉันนึกอยากเดินออกไปข้างนอก แต่ดูเหมือนทุกคนพอใจจะนั่งอยู่ในบ้าน

ยกข้าวให้แขกเพียงครู่ เธอก็บอกให้ฉันไปนั่งบ้านข้างๆ บ้านที่ฉันเห็นแวบแรกก็คาดเดาว่าคงเป็นบ้านโต๊ะชาย พอไปถึงนั่นล่ะ ฉันก็ประจักษ์แจ้ง ชายชราร่างสูง ผอมบาง แต่ดูแข็งแรงที่นั่งอยู่ในบ้านบอกฉันว่านั่นล่ะ โต๊ะชาย ที่เธอมักเล่าเสมอว่า ท่านชอบสอนธรรมะจนลูกหลานต้องถอยร่นหนีห่าง แต่วันนี้โต๊ะชายไม่ได้พูดธรรมะ ท่านโอภาปราศรัยกับเพื่อนของเรา พูดรัวชัดถ้อยชัดคำจนฟังแทบไม่ทัน ราวไม่ได้พูดมานานปี ฉันแอบฟัง ดูเหมือนร่างผอมบางของท่านจะอัดแน่นไปด้วยเรื่องราวเป็นล้านๆ เรื่อง ฉันนึกสนใจแล้วสิ...

สักครู่โต๊ะชายก็เดินมานั่งลงข้างฉัน ท่านคงรู้ว่าฉันเป็นไทยพุทธ จึงเล่าเรื่องหนึ่งให้ฉันฟัง

สมัยเราเด็กๆ เรียนหนังสือในโรงเรียนวัดนี่แหละ บางวันพระมาสอนธรรมะ สอนให้เราสวดมนต์ เราก็สวดเป็นนะ เราจำแม่นกว่าเด็กคนอื่น มีวันหนึ่งก่อนกลับบ้านครูให้นักเรียนสวดมนต์ปรากฏว่าไม่มีนักเรียนคนไหนอาสานำสวด เราก็เลยยกมือ ทีนี้ครูก็แปลกใจ เราสวดได้คล่องกว่าเด็กคนอื่นๆ นะ พูดจบโต๊ะชายก็หัวเราะร่วนออกมาดังๆ ก่อนลุกเดินชี้ไม้ชี้มือให้ดูข้าวของภายในบ้านอย่างน่าสนใจ

ฉันเดินตามโต๊ะชาย สำรวจบ้านครึ่งไม้ครึ่งปูน ชั้นสองเป็นไม้ ช่างไม้จากไหนกันฝีมือแนบเนียนไม่เบา เรียงไม้ได้สม่ำเสมอ เข้าเหลี่ยมได้เรียบสนิท อีกทั้งยังเป็นไม้เนื้อดี สีเข้มและดูแข็งแรง สังเกตรายละเอียดจากงานไม้ คะเนว่าบ้านหลังนี้คงมีอายุหลายสิบปี ช่างเป็นบ้านที่ยังมีเสน่ห์อย่างบ้านดั้งเดิมในยุคก่อนอยู่มากทีเดียว

ฉันหยุดสำรวจตัวบ้าน ปล่อยโต๊ะชายเดินเลี่ยงไปคุยกับแขกคนอื่นๆ แล้วหันมาจัดการกับขนมต้ม ฝีมือโต๊ะหญิงที่เธอมักเล่าให้ฟังเสมอว่าอร่อยเหลือหลาย ฉันจัดการกับขนมต้มลูกแรก ตามด้วยสอง สาม สี่...ช่วงเวลานั้นฉันเริ่มคิดถึงยายและแม่ของฉัน นานแล้วที่ฉันไม่ได้กินขนมต้มแสนอร่อยแบบนี้ รสมันด้วยน้ำมันมะพร้าว เหนียวนุ่ม และกลมกล่อมลงตัว

เพียงครู่โต๊ะชายก็กลับมา ขณะฉันลุกเดินสำรวจภายในบ้านด้วยสนใจบางอย่างเกี่ยวกับเนื้อไม้ โต๊ะชายเริ่มร่ายยาวกันถึงเรื่องไม้นั่นเสียยาวเหยียดอีกหน ถึงการได้มาซึ่งไม้แต่ละอัน พูดถึงการเข้าป่าตัดไม้ของคนสมัยก่อน ซึ่งต้องใช้เลื่อยที่อาศัยแรงคนเป็นส่วนใหญ่

สมัยนี้เขาใช้เครื่องยนต์ วันเดียวโค่นไม้ได้เป็นสิบๆ ต้น ป่าแถบนี้จึงเหี้ยนเตียนไปหมด โต๊ะชายพูดเสียงเบา ชี้ไม้ชี้มือไปยังฝั่งภูเขาที่เห็นอยู่ไกลๆ

สมัยนี้อะไรๆ ก็มั่วไปหมด มีคนตายทุกวัน โต๊ะชายรำพึงออกมาลอยๆ

ศาสนาเสื่อมหรืออะไรเสื่อมล่ะครับที่เป็นแบบนี้? ฉันถามขึ้น ก่อนนึกในใจว่าไม่น่าเอ่ยคำถามนี้ออกมาเลย

โต๊ะชายมองหน้าฉัน ไม่ตอบคำถามฉันตรงๆ แต่พูดออกมาในเชิงสอนธรรมะให้ฉันฟังด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

เราก็ไม่รู้หรอก ดูข่าวทุกวันก็ยังไม่เข้าใจ แต่ลูกบ่าวดูที่นี่สิ เราอยู่กันอย่างง่ายๆ ไม่เคยใช้ศาสนาไปทำอย่างอื่นนอกจากการขอพรจากอัลเลาะห์เพื่อชีวิตที่สงบและง่าย เราเกรงกลัวต่อบาปในโลกนี้

 

 

3.

เราลากลับจากบ้านเธอในช่วงบ่ายแก่ๆ โต๊ะชายเธอเดินมาส่ง พร้อมออกปากเชิญชวนให้ฉันกลับมาเที่ยวอีกหน แต่สำหรับฉันแล้ว การหวนคืนคงหาโอกาสยากยิ่ง ฉันประทับใจการต้อนรับขับสู้จากญาติของเธอ แต่ก็ยังรู้สึกว่าเส้นทางความสัมพันธ์ระหว่างเรายังห่างไกลความจริงอยู่ดี แม้เธอจะรู้ดีว่าฉันชอบสังคมแบบนี้ อบอุ่นด้วยญาติมิตร และวิถีอันเปี่ยมเสน่ห์...วิถีอันมีศรัทธาค้ำไว้ข้างหลัง แต่ญาติเธอจะล่วงรู้ความจริงนี้ได้อย่างไร ในเมื่อฉันยังอยู่ในฐานะอื่น...

ภาพที่เพิ่งผ่านตายังคงวนเวียนในห้วงนึกของฉัน การต้อนรับอันแสนอบอุ่น และบรรยากาศที่เป็นกันเอง ไม่มีใครรังเกียจฉัน ตรงกันข้ามฉันได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ราวเป็นญาติมิตรคนหนึ่งไม่ปาน ทุกสิ่งที่ประสบมาเปลี่ยนความคิดของฉันก่อนนี้แทบสิ้นเชิง บางอย่างที่เห็นมันมากกว่าที่คิด การเป็นมุสลิมมันมากกว่าความรักของคนเสียแล้ว แต่อาจหมายรวมถึงการมีปฏิสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างเครือญาติ ประสานปรองดองกันในวิถีแห่งอิสลาม เรียบง่ายและจริงใจ

ฉันไพล่คิดไปถึงเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น ซึ่งอยู่ไม่ไกลไปจากบ้านของเธอ ผู้คนที่นั่นส่วนหนึ่งกำลังเรียกร้องอะไร? ทำไมถึงมีคนตายทุกวัน? มีมิติอื่นใดนอกเหนือจากความเรียบง่าย และความปรองดองในหมู่คน? ก็ในเมื่ออิสลามสอนให้อยู่อย่างเรียบง่าย ครองตนอยู่ในสิ่งที่ถูกต้อง ทำความดี และให้เกรงกลัวต่อบาปเพื่อชีวิตในโลกหน้า ไม่รู้สิ...ภาพที่ฉันได้เห็นในวันนี้ทำให้ฉันเชื่อมั่นในอะไรมากขึ้น

กระนั้นฉันก็คิดเลยเถิดไปว่า ความรักของฉันที่มีต่อเธอมันอาจไม่เป็นแบบที่ฉันคิดเสียแล้ว

ศรัทธาอีกหนที่ฉันครุ่นคิดถึงคำนี้ บางทีฉันต้องเปลี่ยนความรักมาเป็นศรัทธาในวิถีของอิสลามอีกด้วยใช่ไหม?

ท่ามกลางแดดบ่ายที่ยังคงจ้าแรง รถผ่านพ้นมาจากบ้านเธอไกลมากแล้ว ฉันมองภาพแมกไม้สองข้างทางเคลื่อนผ่านสายตาไปอย่างเร็วรี่ มองไกลออกไป ภูเขาลูกย่อมๆ ตระหง่านง้ำอยู่หลังม่านฟ้าสีฟ้ากระจ่างใส ฉันอยากลงจากรถ เดินข้ามภูเขาไปหาเธอ...ที่รักของฉัน

 

 

4.

อัซฮะดุ อันลาอิลาฮ่า อิ้ลลั้ลลอฮ์ วะฮัชฮะดุ อันน่า มุฮัมมะดั้ร ร่อซูลุ้ลลอฮ์” *

เป็นหนที่สองที่ฉันพูดประโยคนี้ต่อหน้าโต๊ะครูยา ครั้งแรกท่านให้ฉันพูดตามทีละคำจนจบประโยค ก่อนให้ฉันพูดแบบรวดเดียวจบ ด้วยเสียงดังฟังชัด ขณะลมกลางคืนแผ่วพลิ้วมาเบาๆ พูดจบโต๊ะครูยามองหน้าฉันด้วยรอยยิ้มกว้าง แค่นี้แหละ เธอเป็นอิสลามแล้ว ชีวิตใหม่เธอเริ่มต้นแล้ว ต่อแต่นี้เธอจะค้นพบชีวิตใหม่ในหนทางของอิสลาม อัลเลาะห์ทรงประทานให้เธอมาแต่ต้นแล้ว...

ลมยังแผ่วพลิ้วมาอีกระลอก มันพัดพาความเย็นสงบเข้ามาภายใต้หลังคาโรงเรือนเปิดโล่ง บังโส๊ะยื่นมือมากุมมือฉันไว้ พร้อมส่งยิ้มให้ฉันอย่างยินดี

นับจากนี้เธอคือคนที่เกิดใหม่ อัลเลาะห์เลือกเธอมาเป็นอิสลาม เธอต้องรักษาศรัทธาที่มีอยู่ ศึกษาเรียนรู้ตามแนวทางของอิสลาม ไม่ต้องห่วงอะไร ตอนเย็นๆ ก็มาเรียนรู้เรื่องการเป็นมุสลิมเบื้องต้นกับโต๊ะครูที่นี่แหละ

ฉันยิ้ม ก่อนสูดหายใจยาวเข้าปอด นึกถึงช่วงชีวิตที่ผ่าน และช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ในฐานะมุสลิม นึกถึงพ่อและพี่น้องที่ให้อิสระในการเลือกใช้ชีวิตในฐานะของคนต่างศาสนา

ฉันนิ่งฟังเสียงลมพัดแผ่ว คลับคล้ายว่าคำพูดของพ่อเมื่อหลายวันก่อนหวนกลับมาได้ยินอีกหน

ศาสนาไหนๆ ก็เหมือนกัน ขอให้เป็นคนดีรู้จักทำมาหากิน ศาสนาทุกศาสนาสอนให้เราเป็นคนดี เชื่อตัวเราเองเถอะ อยู่ในศาสนาไหนก็ได้ แต่ต้องทำดี คิดดี พ่อก็ไม่ว่าอะไรหรอก


 

5.

ที่รัก, วันนี้เป็นวันที่ดีสำหรับฉัน เสียงขับอาซานละหมาดซุบฮิ แว่วก้องมาจากท้ายหมู่บ้าน ปลุกฉันตื่นจากหลับใหลเหมือนเช่นทุกวัน หากวันนี้ต่างกับวันเก่าก่อน ฉันลุกจากที่นอน เดินเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำละหมาดเตรียมทำละหมาดขอพรจากอัลเลาะห์

นานนับเดือนแล้วที่ฉันเพียรปฏิบัติกิจในฐานะมุสลิม ตามแนวทางที่ถูกต้อง

...ที่รัก...ฉันได้ก้าวข้ามจากภูเขาลูกนั้นมาแล้ว และสักวันหนึ่งฉันจะกลับไปบ้านเธออีกหน

ที่รักของฉัน, ฉันเริ่มตระหนักแล้วว่า ที่ฉันเป็นอยู่นี้ไม่เพียงแต่เพื่อความรักของเราเท่านั้น แต่อาจรวมถึงคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ ที่ปรารถนาให้เราเป็นผู้ซึ่งเปี่ยมศรัทธาต่อศาสนาและชีวิต ก็เพื่อที่เราจะได้เกรงกลัวต่อบาปทุกประการนั่นเอง

 

..........

 

 

*กาลีมะห์ซาฮาดะห์

เป็นการกล่าวคำปฏิญาณตนรับนับถืออิสลาม ในความหมายว่า ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า แท้จริงไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลเลาะห์องค์เดียว และข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า แท้จริงนบีมุฮัมมัด เป็นศาสนทูต (รอซู้ล) ของอัลเลาะห์