รายงานพิเศษ : เปิดสถิติคาร์บอมบ์บวกถังน้ำมันในชายแดนใต้ ปฏิบัติการโหดเพิ่มอำนาจทำลายล้างชีวิตและทรัพย์สิน เผยพบบ่อยขึ้นในการก่อเหตุในช่วงหลังนี้
โรงแรมซี.เอส.ปัตตานีเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของเมืองปัตตานี ซึ่งมักเป็นสถานที่ต้อนรับแขกเหรื่อที่มาเยือนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และเป็นสถานที่จัดประชุมสัมมนาเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในภาคใต้อยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่โรงแรมแห่งนี้เองก็กลับเป็นเป้าของการก่อเหตุคาร์บอมบ์มาแล้วถึงสองครั้งสองครา การก่อเหตุครั้งล่าสุดเมื่อค่ำวันที่ 31 กรกฎาคม 2555 เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ส่งผลสะเทือนไปถึงรัฐบาลที่นั่งอยู่ที่ศูนย์กลางอำนาจของรัฐไทย
หากพิจารณาจากลักษณะระเบิดที่คนร้ายนำไปไว้ในจุดเกิดเหตุครั้งนี้จะพบว่าผู้ก่อเหตุใช้เทคนิคอย่างหนึ่งในการเพิ่มอานุภาพการทำลายล้างของระเบิด นั่นก็คือการวางถังน้ำมันไว้ข้างๆ วัตถุระเบิดที่บรรจุไว้ในรถยนต์ เมื่อเกิดระเบิดก็จะส่งผลให้เกิดเพลิงไหม้ขนาดใหญ่ควบคู่ไปด้วย เทคนิคเช่นนี้มักมีการนำมาใช้บ่อยครั้งมากขึ้นในระยะหลังๆ
เหตุการณ์คาร์บอมบ์ที่ด้านหลังโรงแรมซีเอสปัตตานีในวันที่ 31 กรกฎาคม 2555 (ภาพ : ฮัสซัน โตะดง)
ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลวัตถุระเบิด ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) และหน่วยทำลายล้างวัตถุระเบิด หน่วยเฉพาะกิจอโณทัย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาคสี่ ระบุว่าที่ผ่านมามีการใช้ระเบิดควบคู่กับถังน้ำมันใส่ไว้ในรถยนต์มาแล้วอย่างน้อย 6 ครั้ง โดยพิจารณาจากวัตถุพยานที่พบในที่เกิดเหตุ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าผู้ก่อเหตุมีเป้าหมายในการขยายอานุภาพการทำลายล้างโดยหวังให้เกิดเพลิงไหม้ไปในบริเวณกว้างและมุ่งให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น
จากการตรวจวัตถุพยานในที่เกิดเหตุ พบว่ามีการใช้น้ำมันร่วมกับระเบิดคาร์บอมบ์ ครั้งแรก วันที่ 4 กันยายน 2552 โดยผู้ก่อเหตุได้ซุกระเบิดไว้ในรถกระบะนิสสันแล้วนำมาจอดไว้ที่ย่านชุมชนบริเวณแยกถนนยะลาตัดกับถนน ณ นคร ในช่วงที่ตำรวจตระเวนชายแดน 4 นายขับรถกระบะผ่านมา แรงระเบิดทำให้ตชด. เสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บอีก 3 รายและชาวบ้านบาดเจ็บอีก 9 คน
ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2554 ในบริเวณใกล้เคียงกันกับจุดแรกซึ่งเป็นย่านเศรษฐกิจ ร้านค้าส่วนใหญ่เป็นของคนพุทธและคนจีน แรงระเบิดทำให้ทหารและประชาชนบาดเจ็บ 18 ราย เป็นทหาร 4 ราย ตำรวจ 1 รายและชาวบ้านอีก 13 คน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นเด็ก 1 คน นอกจากนี้ยังทำให้ร้านค้าของคนจีนซึ่งเป็นอาคารเก่าแก่ 10 คูหาวอดไปในพริบตา รถยนต์ 4 คันและจักรยานยนต์อีก 15 คันเสียหาย โดยรถยนต์ที่คนร้ายใช้ก่อเหตุเป็นรถกระบะยี่ห้ออีซูซู ดีแม็กรุ่นโกลด์ซีรี่ ซึ่งถูกขโมยไปเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2553 ในพื้นที่ อ.เทพา จ.สงขลา โดยคนร้ายนำป้ายทะเบียนปลอมมาสวมแทน
ครั้งที่ 3 เกิดขึ้นในช่วงค่ำวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2554 ในย่านร้านคาราโอเกะ ริมถนนสุริยะประดิษฐ์ ต.บางนาค อ.เมือง จ.นราธิวาส ซึ่งคนมุสลิมที่เคร่งศาสนามองว่าสถานที่เหล่านี้เป็นแหล่งอมายมุข โดยคนร้ายลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์บริเวณหน้าร้านดาวพระจันทร์นวดแผนโบราณ แรงระเบิดทำให้มีผู้บาดเจ็บ 20 คน ในจำนวนนั้นเป็นอาสาสมัครทหารพราน 2 คนและอาสาสมัครรักษาเมือง (อรม.) 5 คน ที่เหลือเป็นชาวบ้านซึ่งรวมถึงเด็ก 3 คน โดยคนร้ายได้ประกอบระเบิดโดยใช้ถังแก๊สขนาด 15 กิโลกรัมเป็นภาชนะบรรจุ โดยได้วางถังน้ำมันขนาด 5 ลิตรไว้ด้วยจำนวน 3 แกลลอน แต่ครั้งนี้ไม่ทำให้เกิดเพลิงไหม้
ครั้งที่ 4 ผู้ก่อเหตุกลับมามุ่งเป้าหมายในย่านเศรษฐกิจการค้าอีกครั้งในวันที่ 31 มีนาคม 2555 โดยวางคาร์บอมบ์บนถนนรวมมิตร 2 จุด ซึ่งเป็นย่านเศรษฐกิจการค้าของคนจีนและคนพุทธเช่นกัน และที่ลานจอดรถของโรงแรมลีการ์เด้นส์พลาซ่า อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา อีก 1 จุด เหตุการณ์ทั้งสองนี้ทำให้มีเสียชีวิตรวม 15 รายและบาดเจ็บหลายร้อยคน อาคารร้านค้าสองฝั่งบนถนนรวมมิตรหลายคูหาเสียหายจากแรงระเบิดและเพลิงไหม้ ส่วนที่โรงแรมลีการ์เด้นส์พลาซ่านั้น นอกจากตัวอาคารแล้ว ยังมีรถยนต์อีกร่วมร้อยคันที่จอดอยู่ในลานจอดรถที่ได้รับความเสียหายจากแรงระเบิดและเปลวเพลิงที่สาดเป็นบริเวณกว้าง
รถยนต์ที่นำมาใช้ก่อเหตุก็เป็นรถยนต์ที่ขโมยมาเช่นกัน สำหรับที่โรงแรมลีการ์เด้นพลาซ่าเป็นรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า ซีวิค ของนายธนสร เกื้อสุข อดีต ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เชิงคีรี อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส ที่ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตและชิงรถไปเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2554 ส่วนที่ถนนรวมมิตรจุดที่ 1 เป็นรถกระบะ อีซูซุ รุ่นดีแมคซ์ของนายสมภพ อยู่เซ็งซึ่งถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2554 ส่วนจุดที่ 2เป็นรถกระบะโตโยต้า ไทเกอร์ สีขาวของบริษัท ยะลาไพบูลย์กิจ จำกัดซึ่งถูกคนร้ายขโมยไปเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2555
ในช่วงเริ่มต้นเข้าสู่เดือนรอมฏอน ก็มีการใช้ระเบิดในลักษณะนี้ขึ้นเป็นครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2555 โดยเหตุเกิดขึ้นที่บริเวณหน้าร้านบริษัทโปรคอมพิวเตอร์แอนด์ โอเอ (ไทยแลนด์) จำกัด ในเขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส โดยคนร้ายบรรจุระเบิดในถังแก๊สขนาด 15 กิโลกรัมในรถยนต์ พร้อมถังน้ำมันประมาณ 2 - 3 แกลลอน เมื่อเกิดระเบิดส่งผลให้เปลวเพลิงพุ่งเข้าไปยังตัวอาคารพาณิชย์ 4 ชั้นทั้ง 4 คูหา จนเกิดเพลิงไหม้เกือบทั้งหมด มีผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ 8 คน เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าคนร้ายมุ่งเป้าไปที่การโจมตีรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ขับผ่านมา แต่ปรากฏว่ารถคันดังกล่าวขับเลยไปก่อนจึงได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย
รถยนต์ที่คนร้ายนำมาประกอบระเบิดครั้งนี้เป็นรถกระบะอีซูซุ รุ่น ดีแม็กส์ สีบรอนซ์ทองของนายสงวน แก่นโพธิ์ที่ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตและชิงรถไปเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2554 เพียง 11 วันหลังจากนั้น ก็เกิดเหตุระเบิดคาร์บอมบ์ที่โรงแรมซีเอส ปัตตานีซึ่งเป็นการใช้ระเบิดในรูปแบบนี้เป็นครั้งที่ 6 เหตุการณ์เกิดขึ้นในขณะที่ชาวมุสลิมในพื้นที่กำลังละศีลอด โดยคนร้ายนำคาร์บอมบ์มาจอดไว้บนถนนเล็กๆ ที่แทบไม่ค่อยมีรถสัญจร โดยจอดเลียบอาคารด้านหลังในจุดที่ตรงกับหม้อแปลงไฟฟ้าของโรงแรม แรงระเบิดส่งผลให้หม้อแปลงไฟฟ้าได้รับความเสียหายและอาคารแตกร้าว กระจกห้องพักด้านหลังโรงแรมแตกเสียหายทั้งหมด และมีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากกระจกบาด 5 คน เจ้าหน้าที่พบเศษถังบรรจุน้ำมันขนาด 4 ลิตรในที่เกิดเหตุ
รถยนต์ที่ถูกแปลงให้เป็นคาร์บอมบ์นั้นเป็นรถกระบะยี่ห้ออีซูซุตอนเดียวซึ่งเป็นรถที่คนร้ายได้มาจากการปล้นฆ่าลูกจ้างขนส่งไก่ 3 ศพในอ.กะพ้อ จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2555 ในวันเกิดเหตุ ได้นำทะเบียนปลอมมาสวม
เจ้าหน้าที่ศูนย์ข้อมูลวัตถุระเบิด ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) อธิบายว่า ถังแก๊สขนาด 15 กิโลกรัมจะสามารถบรรจุระเบิดได้ประมาณ 50 - 60 กิโลกรัม รัศมีทำลายล้างประมาณ 50 - 100 เมตร แต่เมื่อนำถังน้ำมันมาเพิ่มก็จะทำให้อานุภาพการทำลายล้างของระเบิดสูงขึ้น
โดยเขาตั้งข้อสังเกตว่ารถส่วนใหญ่ที่คนร้ายนำมาประกอบระเบิดคาร์บอมบ์ในระยะหลังนั้นเป็นรถที่มักได้มาจากการปล้นและฆ่าเจ้าของ โดยจะนำเอารถเหล่านั้นไปใช้ในการก่อเหตุก่อน 2 -3 ครั้ง เมื่อเจ้าหน้าที่เก็บข้อมูลรถไว้แล้ว ก็จะนำมาทำลายทิ้งด้วยการทำเป็นคาร์บอมบ์ แต่เดิมก็มีการปล้นรถมาใช้ แต่ว่าจะไม่สังหารเจ้าทรัพย์ โดยเจ้าของรถเกือบทั้งหมดจะเป็นคนพุทธ ในขณะนี้มีข้อมูลรถที่แจ้งหายในพื้นที่อยู่ว่าสิบคัน
เจ้าหน้าที่คนเดิมตั้งข้อสังเกตว่าการทำคาร์บอมบ์นี้ คนร้ายน่าจะได้รับการฝึกหรือเรียนรู้มาจากต่างประเทศ แต่ว่าไม่มีหลักฐานที่สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจน
นายอนุศาสน์ สุวรรณมงคล เจ้าของโรงแรมซีเอสปัตตานีและสมาชิกวุฒิสภากล่าวว่าการก่อเหตุที่โรงแรมของตนนั้นมุ่งที่จะ “เผาโรงแรม” โดยไม่ได้คาดหวังว่าจะทำร้ายชีวิตคน
การที่คนร้ายสามารถนำรถกระบะตอนเดียว ด้านหลังเปิดโล่งบรรทุกระเบิดแล้วนำมาวางที่โรงแรมที่ตั้งอยู่กลางใจเมืองได้ชี้ให้เห็นว่าระบบรักษาความปลอดภัยในเมืองหละหลวม ในระยะเร่งด่วนนี้ ทางภาครัฐควรที่จะหามาตรการในการตรวจตราและสกัดการเคลื่อนย้ายคาร์บอมบ์เหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นายอนุศาสน์กล่าว
ในสถานการณ์ที่ขบวนการมีศักยภาพในการใช้ระเบิดที่มีอานุภาพรุนแรงขึ้น และฝ่ายความมั่นคงยังคงเป็นฝ่ายตั้งรับและคุมพื้นที่ไม่ได้ สถานการณ์ย่อมน่าเป็นห่วงมาก ความรุนแรงในภาคใต้จะยกระดับเทียบชั้นประเทศที่มีการก่อการร้ายอื่นๆ หรือไม่ เป็นประเด็นที่ต้องจับตามองกันต่อไป