Skip to main content

บุก ‘ปุโละปุโย’ หมู่บ้าน 4 ศพ ดูภารกิจทหารพรานในชายแดนใต้ ช่วงเดือนรอมฎอน การปรับการปฏิบัติงานตามคำสั่ง ‘3 ข้อห้าม 5 ข้อควรปฏิบัติ’  ให้ทหารเข้าใจวิถีชีวิตชาวบ้านในเดือนอันประเสริฐ

 

ปุโละปุโย

ค่ำวันหนึ่งที่มัสยิดหลังเล็กๆ ของบ้านกาหยี ชายฉกรรจ์ในชุดดำพร้อมอาวุธครบมือกลุ่มหนึ่งนั่งลงรับประทานอาหารในช่วงละศีลอดร่วมกับชาวบ้านประมาณ 20 กว่าคนอย่างเป็นกันเอง บรรยากาศจึงดูแปลกแตกต่างไปจากวิถีปกติของชาวบ้าน

ทว่า ทหารชุดดำจากหน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 22 บอกว่ากิจกรรมเช่นนี้เป็นกิจกรรมปกติในช่วงเดือนรอมฎอน พวกเขามักจะตระเวนไปร่วมกิจกรรมละศีลอดหรือมอบสิ่งของให้กับมัสยิดต่างๆ ในพื้นที่รับผิดชอบ

ครั้งนี้ คือนัดหมายของมัสยิดดารุสสลาม บ้านกาหยี หมู่ที่ 1 ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ซึ่งเมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมาเกิดเหตุทหารพรานยิงชาวบ้านขณะเดินทางไปละหมาดศพ  ทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 ศพ บาดเจ็บอีก 5 คน

หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น ความหวาดระแวงระหว่างชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่รัฐเพิ่มสูงขึ้น  ทางแม่ทัพภาคที่ 4 ได้มีคำสั่งให้ย้ายกำลังทหารพรานชุดเดิมออกไปจากพื้นที่และส่งทหารพรานจากหน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 22 เข้ามาปฏิบัติหน้าที่แทน  ทหารพรานหน่วยนี้เป็นหน่วยใหม่ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2554 และเป็นกองกำลังที่มาจากภาคอีสาน 

ทหารพรานชุดใหม่ภายใต้การนำของ พ.อ.ชาคริต สนิทพ่วง ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 22 จึงพยายามเข้าหามวลชนมากขึ้น พยายามพบปะพูดคุยกับชาวบ้าน สร้างความสนิทสนมและความไว้เนื้อเชื่อใจ ซึ่งกิจกรรมละศีลอดร่วมกับชาวบ้านก็เป็นส่วนหนึ่งของงานมวลชน  ทหารต้องปรับเปลี่ยนการปฏิบัติในช่วงเดือนรอมฎอนเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวบ้านในช่วงเดือนอันประเสริฐนี้ 

 

พ.ท.ธีรพงษ์ โอวาท รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 22 ระบุว่า ในช่วงเดือนรอมฎอน ทหารจะพยายามหลีกเลี่ยงกิจกรรมพบปะพี่น้องประชาชนในช่วงเวลากลางวัน  แต่จะพบปะในช่วงกลางคืนแทน เช่น การร่วมละศีลอดกับชาวบ้านในพื้นที่หรือการมอบสิ่งของ

“เดือนรอมฎอนเป็นช่วงที่พี่น้องประชาชนที่อยู่นอกพื้นที่ได้กลับมายังบ้านเกิดจำนวนมาก ดังนั้นการเข้าไปร่วมกิจกรรมละศีลอดจะเป็นช่วงเวลาในการทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนถึงการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ได้ดีที่สุด หรือหากประชาชนต้องการให้เจ้าหน้าที่ช่วยเหลืออะไรก็สามารถร้องขอมาได้เลย”พ.ท.ธีรพงษ์กล่าว

 

ส่วนภารกิจทางด้านยุทธการก็มีการปรับเปลี่ยนเช่นกัน เช่น การตั้งด่านและการลาดตระเวน ซึ่ง พ.ท.ธีรพงษ์ ระบุว่า มีการปรับลดกำลังในช่วงกลางวันและเพิ่มจำนวนในเวลากลางคืนเพื่อรักษาความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนเพราะในช่วงเดือนนี้พี้น้องประชาชนจะออกมาละหมาดในช่วงกลางคืนมากกว่าปกติ ซึ่งจะได้มีการประสานให้ผู้นำในท้องถิ่นทราบล่วงหน้า

การปรับเปลี่ยนดังกล่าวสอดคล้องกับการที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ได้ออกคำสั่ง ข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติของกำลังพลต่อราษฎรไทยมุสลิมในห้วงเดือนรอมฎอนเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมา โดยมี 3 ข้อห้าม และ 5 ข้อควรปฏิบัติ (หนังสือ มศ.กอ.รมน.ภาค 4 สน. ที่ นร5119.1 (มศ.)/ 1816) รวมทั้งยังระบุถึงความสำคัญของเดือนรอมฎอน เพื่อให้กำลังพลได้ทราบด้วย

ชาวบ้านกาหยีคนหนึ่งบอกว่าการพบปะชาวบ้านในเดือนรอมฎอนของทหารก็เป็นหน้าที่ปกติของทหารที่จะมาพบชาวบ้าน ส่วนชาวบ้านก็ทำหน้าที่ปกติในเดือนรอมฎอน คือการประกอบศาสนากิจ ชาวบ้านไม่ได้มองเป็นเรื่องแปลก

เขาระบุว่าชาวบ้านที่นี่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับทหาร เพราะเมื่อ 2 ปีก่อน ทหารมอบเงิน 100,000 บาทให้ชาวบ้านได้ต่อเติมมัสยิดจนเสร็จ พร้อมกับมอบสีทามัสยิดด้วย

“ที่สำคัญในหมู่บ้านนี้ไม่เคยเกิดเหตุไม่สงบแม้แต่ครั้งเดียว เจ้าหน้าที่จึงไม่มาตั้งด่านหรือเดินลาดตระเวนในเวลากลางคืน ชาวบ้านยังสะดวกที่จะไปประกอบศาสนากิจในช่วงกลางคืน”

ขณะที่ชาวบ้านอีกรายได้ยกกรณีเหตุทหารพรานยิงชาวบ้านเสียชีวิต 4 ราย เพราะเข้าใจว่าเป็นกลุ่มคนร้ายว่า ที่เกิดเหตุอยู่อีกซีกหนึ่งของหมู่บ้านและอยู่ไกลจากมัสยิดประจำหมู่บ้านกาหยีพอสมควร  แม้ว่าจะต้อนรับขับสู้ทหารชุดดำอย่างดี  แต่ว่าในใจก็อาจจะยังไม่คลายความหวาดระแวงได้หมดเสียทีเดียว  

“ตอนนี้น่ะหรือ ถ้าเจอทหาร เราก็ยิ้มครับ ส่งยิ้มไว้ก่อน เป็นเพื่อนกันดีกว่า”

 

 
"3 ข้อห้าม 5 ข้อพึงปฏิบัติ" สำหรับทหารในเดือนรอมฎอน
 
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ได้ออกคำสั่ง ข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติของกำลังพลต่อราษฎรไทยมุสลิมในห้วงเดือนรอมฎอน เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมา โดยมี 3 ข้อไม่ควรปฏิบัติ และ 5 ข้อควรปฏิบัติ
 
สำหรับ ข้อไม่ควรปฏิบัติ ได้แก่
 
1. ห้ามรับประทานอาหารและเครื่องดื่มในสถานที่มีมุสลิมอยู่
2. ห้ามพูดจาไม่สุภาพ และใช้วาจาในการดูหมิ่นในการถือศีลอดของพี่น้องมุสลิม
3. ไม่สมควรที่จะเชิญประชาชนในพื้นที่ เข้าร่วมประชุม พบปะ ตั้งแต่ 12.00 น. หากจำเป็นจำเป็นควรปรึกษาผู้นำศาสนาในท้องถิ่น
 
ส่วนข้อควรปฏิบัติ ได้แก่
 
1. ร่วมละศีลอดกับผู้นำศาสนา และคณะกรรมมัสยิด ตามคำเชิญ
2. เยี่ยมเยียน พบปะ และมอบสิ่งของ (ที่ฮาลาล) ให้กับผู้นำศาสนา และคนยากจนตามความเหมาะสม
3. อำนวยความสะดวกในกรณีที่พี่น้องมุสลิมต้องเดินทางไปมัสยิดในเวลาก่อนรุ่งอรุณ เพื่อไปปฏิบัติศาสนากิจ
4. ในช่วงเวลา 19.30 น.จะต้องอำนวยการความสะดวกต่อพี่น้องมุสลิมที่จะต้องเดินทางไปละหมาดที่มัสยิดเป็นกรณีพิเศษ และจะสิ้นสุดเวลาประมาณ 21.30 น. ควรวางแผนออกพบปะเยี่ยมเยียนในห้วงเวลาที่เหมาะสม
5. ช่วงเวลาประมาณ 03.30 น. ทุกบ้านจะมีการประกอบอาหาร เพื่อรับประทานก่อนรุ่งอรุณ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด
 
ในคำสั่งดังกล่าว ยังระบุถึงความสำคัญของเดือนรอมฎอน เพื่อให้กำลังพลได้ทราบด้วยว่า เดือนรอมฎอนเป็นเดือนลำดับที่ 9 (จะนับเดือนตามจันทรคติ) ตามปฏิทินของอิสลาม เป็นเดือนที่มีความประเสริฐมากกว่าเดือนอื่นๆ เป็นเดือนที่ประตูทุกบานของสวรรค์ถูกเปิดออก ประตูนรกทุกบานจะถูกปิดลงและเหล่ามารร้ายชัยฎอนจะถูกล่ามโซ่เอาไว้
 
อีกทั้งเป็นเดือนที่มีผลรางวัลตอบแทนอย่างมหาศาลมากกว่าเดือนอื่นๆ เป็นทวีคูณสำหรับบุคคลที่ทำความดีในเดือนนี้ และในเดือนนี้มีซุนนะห์ (แบบอย่างจากศาสดา) ให้ทำเช่น การละหมาดตะรอเวียะห์ การเอียะอติกาฟ (การอยู่ในมัสยิดตลอด 24 ชั่วโมงสำหรับ 10 วันสุดท้ายในเดือนรอมฎอน) อัล-กิยามุลลัย (การละหมาดหลังเที่ยงคืนเป็นต้นไป) เป็นต้นไป
และในเดือนรอมฎอนนี้ จะมีค่ำคืนหนึ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดคือคืนอัล-ก็อดร์ ซึ่งเป็นค่ำคืนที่มีความประเสริฐมากกว่าเดือนอื่นๆ ถึง 1,000 เท่า