Skip to main content

                                                             

                                                                                                                                                                                                                     อิมรอน  โสะสัน                

                                                                        

                                         มุสลิมในกลาสโกว์ขอบริจาคตั้งโรงเรียนสอนศาสนาควบสามัญ

                                                            (http://news.muslimthaipost.com/news/11081)

 

“ซอและห์......กลับมามัสยิดเดี๋ยวนี้ เพื่อนๆกำลังอ่านกุรอานกัน รีบวิ่งเข้ามา อย่าออกไป ถนนรถเยอะ” ครูบะฮ์ตะโกนเรียกลูกศิษย์ให้เข้ามาในห้องเรียนด้วยความเป็นห่วง สีหน้าเธอดูเป็นกังวลไม่น้อย เมื่อศิษย์รักพยายามวิ่งข้ามถนนออกไปนอกรั้วมัสยิด ขณะเธอกำลังสาละวนกับลูกศิษย์ที่เหลือให้อ่านอัลกรุอานให้ได้

....เธอรู้ดีว่าเวลาของเธอเหลือน้อยเต็มทีที่จะอยู่กับเด็กๆและมัสยิดแห่งนี้ เพราะความจำเป็นส่วนตัวที่จะต้องเดินทางกลับภูมิลำเนาไปแต่งงานกับว่าที่เจ้าบ่าวที่ทางครอบครัวกำลังจัดเตรียมพิธีนิกะฮ์ให้เธอต้นเดือนหน้า….

“ครูบะฮ์” ครูสอนศาสนาตัวเล็กๆคนหนึ่ง ตัดสินใจเดินทางรอนแรมมาอยู่ในดินแดนไกลบ้าน เพียงเพื่อต้องการให้ลูกศิษย์ที่เธอรักได้อ่านอัลกุรอานและเข้าใจศาสนาอิสลาม.....เธอมักย้อนมองกลับไปยังอดีตของเธอ เธอโตมากับชุมชนมุสลิมกลุ่มใหญ่ มีโรงเรียนสอนศาสนารายล้อมหมู่บ้าน มีโต๊ะครูสอนอัลกุรอาน มีครอบครัวที่เคร่งครัด เธอมีโอกาสได้ศึกษาศาสนาและความรู้อิสลามกับมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดชายแดนใต้ แต่...เมื่อเธอถูกส่งมาทำงานเป็นครูอาสาช่วงเวลาสั้นๆตอนปิดภาคฤดูร้อนในภูมิภาคที่มีมุสลิมไม่มากนัก หัวใจของเธอเริ่มคิด และไตร่ตรองมาตลอดว่า “ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้เด็กๆที่นี่ได้เรียนอิสลามให้มากกว่านี้”

ความคิดของเธอคือแรงผลักดันให้เธอตัดสินใจเลือกใช้ชีวิตในดินแดนไกลบ้านอีกครั้ง ต่อไปเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องทำอะไรบ้าง และจะใช้ชีวิตแบบไหน แต่..มันไม่สำคัญมากกว่าความรู้สึกกังวลกลัวว่าลูกศิษย์ของเธอจะไม่ได้เรียนศาสนา……

เธออาศัยครอบครัวมุสลิมใจดีครอบครัวหนึ่งเป็นบ้านพัก อาศัยชายคามัสยิดเป็นห้องเรียน บางเวลาเธอจูงมือเด็กๆออกไปนั่งเรียนตามใต้ต้นไม้ไม่ไกลจากมัสยิด วันไหนที่เธอพอมีเวลาว่างจากงานบ้านที่เธอต้องรับผิดชอบ เธอมักจะเดินทางเข้าเมืองด้วยรถประจำทาง ไปหาหนังสือ คู่มือการสอน อุปกรณ์เครื่องเขียน ที่พอจะมาช่วยเป็นสื่อการสอนให้เธอ ด้วยความที่เธอเป็นผู้ที่หลงใหลในการศิลปะ เธอจึงใช้ความสามารถด้านนี้มาช่วยในการเรียนการสอนของเธออยู่เนืองๆ

หลายเดือนผ่านไป.....ครูบะฮ์ยังทำหน้าที่เหมือนทุกวัน เธอเป็นแบบอย่างที่ดี เธอเริ่มปรับตัวเข้ากับเด็กๆและชุมชนได้ไม่ยากนักด้วยกิริยาและมารยาทที่ถ่อมตน เธอเชื่อเสมอว่า “แบบอย่าง...คือครูที่ดีกว่าการพูดหรือการพร่ำสอนเพียงอย่างเดียว” เด็กๆหลายคนเริ่มอ่านออกเสียงอัลกุรอานได้ชัดขึ้น  บางคนเริ่มท่องจำบทสั้นๆ เพื่อใช้ในการละหมาด บางคนเริ่มจำดุอาอ์ (บทขอพร) ที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้หลายบท อาทิ ดุอาอ์เข้า-ออก มัสยิด ก่อนนอน ตื่นนอน กินข้าว เข้า-ออกห้องน้ำ และ ดุอาอ์ขึ้นรถ เป็นต้น  

คืนสุดท้ายก่อนจากลา เธอหยิบบันทึกเล่มสีฟ้าออกมาอ่าน “แปดเดือนแล้วซินะ เร็วมาก เหมือนกับฉันเพิ่งมาอยู่ที่นี่เอง......” เธอบ่นเบาๆกับ ฮาวา ลูกสาวคนเล็กเจ้าของบ้านที่เธออาศัย สาวน้อยคนนี้เป็นทั้งศิษย์รักและเพื่อนยามที่เธอรู้สึกท้อแท้ เหงา และโดดเดี่ยว....

คืนนั้น.....เธอแทบจะนอนไม่หลับ หลายเรื่องราวรุมร้าวความรู้สึก เธอคิดไปต่างๆนานาเกี่ยวกับอนาคตของเด็กๆ เธอไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่า หลังจากนี้...เด็กๆที่นี่จะได้เรียนศาสนากันอย่างไร เมื่อไหร่จะมีครูคนใหม่มาแทนที่เธอ ฯลฯ.....

ถึงเวลาที่เธอต้องจากลา...เช้าวันนั้น...เด็กๆ ชาวบ้าน กรรมการมัสยิด มารวมตัวกันเพื่อกล่าวอำลาครูสอนศาสนาของพวกเขา พวกเขาเข้าใจถึงสัจธรรมข้อนี้ดี สักวันไม่ช้าก็เร็วครูสอนศาสนาของพวกเขาก็ต้องจากพวกเขาไปเหมือนครูคนก่อนๆ ครูสอนศาสนาบางคนมาอยู่ได้เพียงเดือนเดียว บางคนสามเดือน บางคนอาจนานหน่อยหกเดือน แต่..สำหรับครูบะฮ์...เธออยู่นานที่สุดถึงแปดเดือน...........

ไม่รู้ว่า....จากนี้ไปจะมีเสียงใดที่จะเรียกครูของพวกเขาให้กลับคืนสู่อ้อมกอดของชุมชนแห่งนี้อีกครั้ง แล้วเมื่อไหร่ครูคนใหม่จะมา....ทุกคนยืนมองภาพครูบะฮ์จางหายไปกับถนนหน้าหมู่บ้านจนลิบตา......