มีโอกาสได้อ่านงานเขียนและช่วยตรวจทานภาษาเรื่องเล่าจากน้องชายคนหนึ่งซึ่ง คอยอยู่หอเดียวกันสมัยเรียน ป.ตรี ที่ส่งมาจากอินโดนีเซียไปร่วมทำงานแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในต่างแดน (อินโดนีเีซีย) สะท้อนมุมมองบางอย่างผ่านแว่นที่อยู่นอกพื้นที่ผ่านมุมมองของตัวเองเข้าสู่ ในพื้นที่บ้านเราที่เขาเคยสัมผัสและเรียนรู้ตลอดจนใช้ชีวิตการเป็นนักศึกษา ปริญญาตรี ณ ดินแดนแห่งนครปัตตานี หลายมุมน่าค้นหา หลายอย่างน่าขบคิด ชีวิตที่สะท้อนบางอย่างของสังคมที่กำลังเพาะบ่มอย่างน่าสงสาร คือ การงานที่เราทุกคนควรตระหนักและต้องพร้อมที่จะป้องกันหากมันเกิดขึ้นในบ้าน เรา...
แลเขาดูบ้านเราจากจากาต้าสู่ปัตตานี
อับดุลเลาะ เต๊ะหละ[1]
มาอยู่ ที่ออฟฟิต imparsial ผมพักอยู่ที่นี่ ตรงที่ผมอยู่น่าจะเป็น บริเวณตรงกลางของเมือง จากาต้า ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศอินโดนีเซีย มีผู้คนมากหน้าหลายตา หลากหลายอาชีพ หลากหลายชนชั้น
ตอนเช้าที่ผมตื่นขึ้นมา ได้ออกสูดอากาศข้างนอก ออฟฟิต มองดูผู้คนที่ขับรถไปมาอย่างวุนวาย หรือที่เดินอยู่สวนกันไปมาบ้างก็ทักทายกัน แต่บางคนต้องเดินอย่างเร็วเพื่อรีปไปใหนสักที่หนึ่ง
แต่บรรดาเหล่ามอเตอร์ไซค์ และรถยนต์ ทำไมหนอชอบบีบแตร เสียงดังมากๆ บนท้องถนนที่นี่เต็มไปด้วยรถ ควันรถและเสียงแตร รถมอเตอร์ไซค์ไม่รู้มาจากไหนเยอะมาก หากเทียบกับกรุงเทพแล้วที่นี่น่าจะเยอะกว่าสักสองสามเท่าได้ เอาเถอะ เขาคงไปทำงานกัน
แต่ที่ผมยืนอยู่หน้าออฟฟิต นอกจากดูรถแล้ว ผู้คนที่เดินกันไปมา บ้างก็เอาขยะมาทิ้ง บ้างก็คุ้ยเขี่ยหาอะไรสักอย่าง ในกองขยะ เหมือนกับว่าคนรวยเอาขยะมาทิ้ง แล้วคนที่รวยน้อยกว่ามาหาอะไรที่ขาดหายไป
แต่พวกเขาก็หลายคนนะที่มาหาอะไรในกองขยะ อาจจะว่าเขาคงทำอะไรหายไป เมื่อคืนแน่เลย แต่พอหันไปด้านตรงข้าม เห็นคนปั่นจักยานบรรทุกถังพลาสติก เราก็อยากรู้ว่า จำนวนรถจักรยานหลายคันที่ปั่นไปพร้อมกัน ปั่นไปใหนบรรทุกไรกันหนอ
เราก็เก็บคำถามนี้ใว้ในใจ ถามว่าอยากรู้ไหม๊ อยากรู้ แต่ไม่กล้าถาม
เพราะอะไรละ เพราะกลัวว่าเราไป กล่าวหาว่าเขาเชยที่เป็นแบบนี้อีก ทั้งที่กรุงเทพ ประเทศไทยมันไม่มีแบบนี้แล้ว เอาเถอะเขาอาจจะลดการใช้พลังงานก็ได้ หรือเขาประหยัดการใช้น้ำมัน
ที่สำคัญกลุ่มจักรยานกลุ่มนี้ไม่ทำไห้โลกร้อนแน่ แต่เช้านี้ผมคงไม่รู้ว่าจักรยานเหล่านั้นเขาบรรทุกอะไร ค่อยว่ากันเช้าต่อไป
อีกวันที่ตื่นขึ้นมา ที่ตัวเองยังอยู่บน ผืนแผ่นดินประเทศอินโดนิเซีย อากาศที่จากาต้า เหมือนกับที่กรุงเทพ ลงไปถึง จังหวัดนราธิวาส เหมือนกัน มีร้อนบ้าง หนาวบ้างฝนตกบ้าง เป็นครั้งคราว ต่างกันบ้างในส่วนของบรรยากาศ ที่แต่ละคนจะชมชอบ
แต่ถ้าท่านคือผู้ที่นั่งรถเพื่อจะเดินทางไปไหนในจากาต้า ในช่วงเวลารถติด ท่านอาจจะเร้าใจหรือหงุดหงินก็ได้ ที่นี่รถติดมาก เป็นปัญหาสำคัญของรัฐบาลอิเหนาในเวลานี้ รถติดควันของรถเยอะมาก
ในความติดของรถบนท้องถนนยังมีอะไรน่ามองอีกมาก ถ้าท่านไม่ได้คิดซีเรียส กับการที่จะต้องรีบเร่ง ก็ให้รถมันใหลไปตามธรรมชาติของมัน ในบรรยากาศรถติด ถ้าท่านสังเกตมันดีๆ ท่านมองเห็นการเมืองบนท้องถนน
ที่เห็นได้ชัดเช่นไรบ้างละ กรณีรถบัสหยุดรับคนใช้เวลามากเกินไป ไม่เกินสามนาที บรรดาเสือมอเตอร์ไซค์ จะรวมกลุ่มกันบีบแตรไล่รถบัสกันอย่างอุตลุดเสียงมันเหมือนๆกับเสียงที่สนาม ฟุตบอลที่แอฟริกา ครั้งล่าสุดเลยแหละ
อาจจะมองว่ากลุ่มมอเตอร์ไซค์ คือกลุ่มมีอิทธิพลบนท้องถนนของจากาต้าก็ว่าได้นะ ที่บอกไปไม่ใช่แค่รถบัสนะ บรรดารถทุกรถที่เป็นอุปสรรค บนท้องถนนจะถูกบีบแตรไล่หมด (อาจจะยกเว้นรถเสียมั้ง) คนรวยดูท่าทางโดนบีบแตรไล่มากที่สุดแน่เลย
แต่บรรดามอเตอร์ไซค์เขามีการจัดการของเขาดีไช้ได้ ไม่ค่อยเห็นตำรวจจับพวกเขาสักเท่าใหร่ อุบัติเหตุจากมอเตอร์ไซค์ ผมยังไม่เห็นเลยตั้งแต่มา หรืออุบัติเหตุอื่นก็ยังไม่เห็นทีนะบนท้องถนน ยกเว้นว่าไปนั่งดูข่าวจากทีวีอินโดนิเซีย อาจจะเห็นอุบัตติเหตุ จากกลุ่มวัยรุ่นจะรุมทำร้ายกัน อุบัตติเหตุ จากการทะเลาะกันของคนที่นี่โดยที่ยังมีดาบเป็นอาวุธอีกนะ หลายคนพกมันเป็นอาวุธบ้างก็ดาบแบบประเทศไทย บ้างก็กึ่งดาบกึ่งกริช ผมไม่รู้เขาเรียกชื่ออะไร ยังใงก็ต้องรู้ไห้ได้
เอากันต่อ บนท้องถนนที่เต็มไปด้วยกลุ่มมอเตอร์ไซค์ พวกเขามีการจัดการตัวเองจากควันรถ พวกเขาเกือบทุกคน มีที่ปิดจมูก อาจจะต่างที่กรุงเทพบ้าง ที่คนกรุงเทพไม่ค่อยปิดกัน เอาเป็นว่า บนท้องถนนที่นี่ มอเตอร์ไซเป็นใหญ่ เป็นการรวมตัวประเดี่ยวเดียวจบสิ้นลงของแต่ละคันเมื่อกลับถึงบ้านหรือที่พัก ของตัวเอง บนท้องถนนในจากาต้า มีรถมาก รถมากทำไห้มีรถติดมาก และมากกว่ากรุงเทพเสียอีก
แล้วถ้าเปรียบกับ กรุงกัวลาลัมเปอร์ละ มีความเหมือนกันที่รถมากเช่นกัน แต่ต่างกันตรงที่รถติดน้อยกว่า เมื่อเอา กรุงเทพ จากาต้า กัวลาลัมเปอร์มาเปรียบเทียบเรื่องการเดินทางของผู้คน แล้ว เมืองที่มีการจัดการที่ดีน่าจะเป็น กัวลาลัมเปอร์ เพราะรถติดน้อยมากและผู้คน มีโอกาสเลือกการเดินทางที่หลากหลายได้ มีทั้งรถไฟบนดิน ใต้ดิน เหมือนกรุงเทพ แต่กัวลาลัมเปอร์มีการจัดการเรื่องถนน ที่ดีกว่า ส่วนจากาต้า รถไฟบนดินใต้ดินยังไม่มี แต่รถไฟ ชานเมืองเขาดีกว่าเมืองไทยเอามากๆๆ
ผมได้เดินทางกลับบ้านที่สงขลา สามอาทิตย์ กลับมาอินโดเมื่อวาน อินโดก็ยังเป็นอินโดเดิม
ผมลงเครื่องที่สนามบินซูกัรโนอัตตา จากาต้า ผมติดใจเรื่องเทกซี่มาก เทคซี่อินโด กับมาเลเซีย มันคล้ายๆกัน ตรงที่มีเทกซี่ผี ที่มาคอยตื้อผู้คน ตื้อแบบน่าเกลียดมาก
ถ้าผมบอกรัฐบาลอินโดได้ ผมจะบอกให้มีการจัดการที่ดีกว่านี้
และอีกพวก คือ ขายน้ำหอม มายืนตื้อ แบบไม่น่ารัก ทำไห้คนเดินทางอย่างผม หัวเสียทำไห้รักประเทศนี้น้อยลง บนเครื่องผมคุยกับคนอินโดว่าชอบประเทศนี้แต่พอลงมาเจอเข้ากับกลุ่มเทกซี่ผี และคนขายของ หรือคนทำความสะอาด สนามบินที่ทำงานมากกว่า ทำความสะอาด คือขายของด้วยหรือเชียแขกเข้าร้าน หรือว่ามันเป็นวัฒนธรรมไปแล้ว
ผมกลับไปสงขลา แล้วติดตามสื่อ ประเทศไทยก็ยังเหมือนเดิม การต่อสู้ทางการเมืองยังฉายภาพความขัดแย้งเหมือนเดิม กลับมาอินโด ผู้คนที่นี่ก็เหมือนเดิม กลับมาที่พักยังเห็น คนหาขยะที่หน้าออฟฟิตเหมือนเดิม ดูข่าว ความขัดแย้งที่ปาปัวก็เหมือนเดิม เหมือนประเทศไทย เรื่องปัญหาสามจังหวัด ก็ยังมีการต่อสู้ของกลุ่มขบวนการที่ปัตตานีเหมือนเดิม มีอะไรบ้างที่ไม่เหมือนเดิม
อินโดนีเซียมีการเมืองที่นิ่งใช้ได้ หากมีการสนับสนุนงบประมาณทำอะไรคิดว่าโครงการดีๆจะเสร็จได้เยอะแยะ แต่ประเทศไทย น่าจะยากหน่อยในบรรยากาศการเมืองที่แบ่งเป็นขั้วที่เห็นได้ชัด แต่ขณะเดียวกันมาเลเซีย ทำทุกอย่างไปใกลมากกว่าไทย และอินโด
ผมได้เดินทางไปหลายๆที่ผมว่าที่นี่คือ ปะหรืออาเยาะแห่งวัฒนธรรมมลายูก็ว่าได้ วัฒนธรรมก็ดี ศิลปะก็ดีผมว่าที่นี่คือแหล่งที่ใหญ่มากและอาจจะเป็นที่กำเนิดมัน แต่ถ้ามองจากาต้าผ่านไปถึงปัตตานี ปัตตานียังมีภูมิคุ้มกันจากอิสลามที่เข้มข้นอยู่เยอะกว่า
แต่ในความที่เยอะกว่า ยังมีผู้หญิงในพื้นที่ ตั้งท้อง หรือ ตามกันไป ตามที่มีอยู่ในคลิป หรือหาดูได้บนรถไฟ ชั้นสามปลายทาง กทม ทุกๆวัน แต่อินโดและมาเลเซีย ผู้หญิงไม่สวมหิญาบเยอะมาก แต่ถึงเวลาละหมาด คนที่นุ่งสั้นหรือไม่สวมหิญาบ รอคิวละหมาดที่ มูซอลลากันเต็ม ต่างกับปัตตานี หรือจังหวัดอื่น ถ้าผู้หญิง ไม่สวมหิญาบหรือนุ่งสั้น ห่างใกลต่อการละหมาดมาก ผู้หญิงอินโดหลายคนหรือว่าเยอะคน ชอบสูบบุหรี่ แต่มุสลิมะฮฺที่ ปัตตานี หาน้อยมากที่สูบบุหรี่
ภาษาอินโด เป็นภาษาหนึ่งที่คนปัตตานี มาเลเซีย และคนอินโด ยอมรับร่วมคือ ภาษาที่ผ่านบทเพลงที่เพราะมากและความหมายดี รถหลายคันหรือเกือบทุกคันในปัตตานีเปิดเพลงอินโด นี่คือข้อเด่น และเด่นมาก ที่หลายคนไม่ปฏิเสธ รวมไปถึงหนังอินโด ที่หลายๆคนติดหนึบ
ผมยังรู้อะไรในอินโดยังไม่มาก หากมีมากกว่านี้จะเขียนเล่าหรือว่าเป็นนิทานที่ไม่รู้จบ แต่อยากบอกว่าที่นี่ คนจน จนแบบไม่มีบ้าน คนสนามหลวงยังมีบ้าน(บ้านนอก)คนไม่มีบ้านก็นอนบนดิน หรือนอนบนรถเข็น คนรวย รวยมาก บ้านหลังใหญ่และใหญ่มาก ประชากรอินโดเยอะมาก ริมทางถนน เต็มไปด้วยบ้านคน ไม่มีที่ให้แทรก
คนเคร่งศาสนาเคร่งมากมีครั้งหนึ่งเคยถามผมว่าทำไม ไม่พูดภาษาอาหรับ เพราะภาษาอาหรับเป็นภาษาสวรรค์ ผมได้แค่ยิ้มแล้วบอกว่า อัลอัมดูลิลละฮฺ คนไม่เอาไหนก็เยอะ เดือนรอมฏอนที่ผ่านมาคนไม่เคร่ง อยู่ในร้านข้าวเต็มไปหมด หรือไม่ก็สูบบุหรี่ สบายๆหน้ามัสยิด ไม่สนใจใคร
นี่คืออินโดนีเซีย จะต่างหรือเหมือนปัตตานีในอนาคตอย่างไร เราและท่านคอยติดตามกันต่อไป วันนี้ผมคงเล่าเรื่องอินโดแค่นี้ก่อน วันหน้ามาใหม่
...
...
...
[1] ผู้เล่าเรื่อง / คนทำงานแลกเปลี่ยนโครงการฟอรั่มเอเชีย ประเทศไทย (FK)