Skip to main content

 

วัยเด็ก ที่ยะลา กับร่องรอยของความสงบ

 

 

“วันเด็ก” ในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ ตลอดทั้งสัปดาห์ก่อนวันเด็ก ทางโรงเรียนของเหล่าบรรดาเด็กน้อยทั้งหลาย ต่างก็พากันจัดกิจกรรมให้เด็กนักเรียนกันอย่างคึกคัก  เด็กๆ เองก็ดูจะตื่นเต้นและร่วมสนุกกันอย่างเต็มที่  เห็นแล้วทำให้คิดถึงตัวเองในสมัยเด็กๆ  ขึ้นมาเลย

ย้อนถึงสมัยนั้น …

ขอบอกว่าไม่อยากนับนิ้วมือตัวเองเลย   ว่ามันผ่านมากี่ปีแล้ว เพราะมันเกี่ยวโยงถึงอายุอานามของผู้เขียนด้วย   แต่ถึงกระนั้น แม้มันจะนาน และผ่านมาหลายสิบปีแล้วก็ตามที  แต่ในความรู้สึกของข้าพเจ้าเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นและเพิ่งผ่านมาเมื่อไม่นานมานี้เอง ถ้าเปรียบความทรงจำนี้เป็นเหมือนภาพยนตร์เรื่องโปรด ข้าพเจ้าคิดว่า เรื่องนี้มันถูกรีรันฉายซ้ำบ่อยที่สุดเลยก็ว่าได้ 

 

วัยเด็ก ในความทรงจำ…

        ข้าพเจ้าโชคดีที่ได้เรียนโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงในจังหวัดยะลา  โรงเรียนนี้มีสอนภาษาจีนแทรกอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอน  ตอนเด็กๆ จำได้ว่า แรกๆ เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ข้าพเจ้าไม่ชอบไปโรงเรียนเลย แม้ว่าการเรียนของตัวเองจะอยู่ในระดับที่ดีก็ตาม  เหตุผลเพราะข้าพเจ้าเป็นมุสลิมคนเดียวในห้อง จึงรู้สึกว่าตัวเองแปลกกว่าคนอื่นๆ จึงไม่ค่อยอยากที่จะคบใคร  เวลาพักเที่ยงก็จะแอบทานข้าวที่แม่ใส่กระปุกไว้ให้คนเดียว ในขณะที่เพื่อนๆ ออกไปทานกันในโรงอาหาร 

        พอขึ้นชั้นประถมปีที่ 2  เริ่มรู้สึกดีขึ้นเพราะมีน้องสาวมาเรียนด้วยแม้จะคนละชั้นปีกัน  แต่ข้าพเจ้าก็รู้สึกอุ่นใจที่มีน้องสาวเป็นเพื่อน  พอพักเที่ยงก็จะพาน้องสาวมาทานข้าวในห้องเรียนด้วยกัน บางวันก็ลงไปทานที่ห้องของน้องสาว สลับสับเปลี่ยนกันไป    ไม่นานนักพอเริ่มจะปรับสภาพได้ ข้าพเจ้าก็เริ่มมีเพื่อนต่างศาสนามาร่วมวงด้วย เพื่อนข้าพเจ้าคนนี้นับถือคริสต์ นานวันเราเข้าเราก็เริ่มสนิทกัน จากนั้นก็เริ่มสนิทกับเพื่อนในห้องไปเรื่อยๆ ทั้งไทยจีนแท้ๆ ที่ยังใช้นามสกุลเป็น “แซ่”  และไทยพุทธแบบจีนผสมก็มี  ไม่นานก็รู้สึกว่า “โรงเรียนนี้น่าอยู่…จริงๆ”

        บ้านของข้าพเจ้าอยู่ในย่านตลาดเก่า  เมื่อก่อนมีชาวไทยพุทธมุสลิมอยู่กันปะปนเป็นจำนวนมาก  จำได้ว่าตอนนั้นพอเริ่มขึ้นชั้นประถมปี่ที่ 4  พ่อได้ซื้อจักรยานให้เป็นรางวัลในผลการเรียน ข้าพเจ้ากับเพื่อนในละแวกบ้านเลยมีกลุ่มแว๊นเล็กๆ เกิดขึ้นตามประสาเด็กภูธรจัดตั้งกันตามสภาพการณ์ ด้วยว่าสมัยนั้นรถราไม่ได้มีมากมายเหมือนสมัยนี้ 

        ข้าพเจ้ามักจะปั่นจักรยานไปทำการบ้านหรือรายงาน ที่บ้านเพื่อนร่วมห้องที่เป็นไทยพุทธเป็นประจำ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านถัดไป 5 ซอย  กิจวัตรก่อนไปถึงที่หมายก็จะแวะซื้อโอเลี้ยงที่ร้าน “โกเจ๋ง” หน้าปากซอย 14 (ถนนสิโรรสซอย 14)  ซึ่งเป็นร้านน้ำชาที่ขึ้นชื่อในย่านตลาดเก่าแห่งนี้  ร้านนี้ขายเครื่องดื่มน้ำชากาแฟอย่างเดียว  ส่วนพวกอาหาร ขนม ของกินจะมีชาวมุสลิมมาขายใต้ชายคาหน้าร้านของแก   เรียกว่าเป็นพันธมิตรทางการค้าระดับตำนานที่ยาวนานจนมาถึงปัจจุบันเลยทีเดียว

        จำได้ว่า พ่อกับแม่มีแผงขายของอยู่ในตลาดสดเทศบาลนครยะลา ทุกวันหลังเลิกเรียนพ่อจะมารับข้าพเจ้ากับน้องสาวที่โรงเรียนแล้วพาไปที่แผงขายของก่อนกลับบ้านทุกวัน ข้าพเจ้าเห็นความสัมพันธ์ของคนไทยพุทธกับมุสลิมเวลานั้น พึ่งพาอาศัยกันเหมือนพี่เหมือนน้องกันเลยทีเดียว  พ่อกับแม่มีเพื่อนเป็นไทยพุทธหลายคน  เพราะอาชีพค้าขายของท่านทั้งสองเอง  แต่การช่วยเหลือเกื้อกูลก็มีให้เห็นกันเป็นประจำจนข้าพเจ้าคุ้นตา  ความเอื้อเฟื้อแบ่งปันของพ่อค้าแม่ค้าในตลาด แม้จะมีกรอบของศาสนาเป็นตัวกรองในบางกิจกรรมด้านความเชื่อก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคในการอยู่ร่วมกันเลย 

        พ่อข้าพเจ้าบอกเสมอว่า คนต่างศาสนิกก็คือมนุษย์เหมือนเรา  และที่สำคัญ พวกเขาก็คือ สิ่งที่ถูกสร้างจากพระเจ้าเฉกเช่นเรา เราให้เกียรติเขาเท่ากับให้เกียรติตัวเอง  จึงไม่แปลกใจเลยว่า แม้ความความเชื่อและความศรัทธาจะแตกต่างกัน แต่ผู้คนในสมัยนั้นก็ไม่เคยรู้สึกถึง “ความหวาดระแวง” ในความสัมพันธ์กันเลย  ข้าพเจ้าได้สัมผัสได้ถึงความเป็นวิถีชีวิตที่ราบเรียบและสงบสุขอันแท้จริง

       

สถานที่กับความทรงจำ

        มีหลายสถานที่ที่ยังคงทำให้ข้าพเจ้านึกถึง “วัยเด็ก” ทุกครั้งที่ผ่านตา

ตั้งแต่หน้าโรงเรียนเก่า ที่คนในสมัยนั้นเรียกว่า “โรงเรียนจีน”  ร้านค้าของอาซิ้มคนเดิมที่ตอนนี้เปลี่ยนมือเป็นรุ่นลูกแล้ว  แต่ก็ยังคงทำการค้าขายแบบเดิมๆ  มีขนมขบเคี้ยว ของเล่นแปลกๆ เก๋ๆ ตามยุคสมัย ให้เด็กๆ ได้ตื่นตาตื่นใจกันเสมอจนถึงปัจจุบัน 

        “ร้าน ช้าง” ร้านขายหนังสือเรียน อุปกรณ์การเรียน เครื่องเขียน ที่เด็กๆ ในสมัยข้าพเจ้าไม่ยอมพลาดที่จะเข้าไปซื้ออุปกรณ์การเรียนที่แปลกใหม่ ทันสมัย เพื่อมาอวดเพื่อนๆ ในห้องกัน  รวมถึงของกิ๊ฟช๊อปต่างๆ  ที่ร้านนี้มีให้เลือกสรรมากมายเลยทีเดียว

        “สายกลาง”  จนถึง “หน้าสถานีรถไฟ”   แหล่งย่านธุรกิจใจกลางเมืองยะลา ที่ใครๆ ต่างนิยมชมชอบในการจับจ่ายซื้อของกัน  จำได้ว่าสมัยนั้น ถ้าเป็นช่วงเทศกาล ไม่ว่าจะ ปีใหม่ วันเด็ก หรือคืนก่อนวันฮารีรายอ  ร้านค้าแถวนี้จะเปิดกันถึงเที่ยงคืนเลยทีเดียว 

        “ตลาดเก่า”    จากถนนสิโรรสข้ามทางรถไฟไป คือเขตแดนของถิ่นเก่าแก่ที่มีชื่อว่า “ตลาดเก่า”  สมัยนั้น 2 ข้างทางมีร้านค้ามากมาย  ทั้งร้านค้าของคนไทยพุทธและคนมุสลิม มีของกินของใช้  ตลอดจนร้านค้าแผงลอยเรียงรายจนถึงหน้ามัสยิดกลางจังหวัดยะลา   สมัยนั้น 4 ทุ่มยังไม่ถือว่าดึก เพราะผู้คนยังพลุกพล่าน  อีกทั้งรถรายังเต็มท้องถนนอยู่เลย

        ต่างจากวันนี้   … ทุกอย่างเปลี่ยนไป  บ้านเพื่อนไทยพุทธของข้าพเจ้าหลายคนไม่อยู่แล้ว บ้างก็ขายบ้านแล้วย้ายไปต่างจังหวัดกันทั้งครอบครัว  พ่อค้าแม่ค้าไทยจีนในตลาดหลายคนที่เป็นเพื่อนพ่อก็ต่างย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่นกัน  ย่านธุรกิจก็ปิดร้านกันตั้งแต่ 5 โมงเย็น   ข้าพเจ้าไม่รู้ถึงจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงนี้ และก็ไม่รู้ด้วยว่ามันจะจบลงเมื่อไหร่กัน 

 

ความทรงจำในวัยเด็กถูกฉายซ้ำอีกครั้ง

        วัยเด็กเมื่อวันวาน มีร่องรอยของความสงบสุข ที่เคยเกิดขึ้นจริง

ครั้งหนึ่ง…

ความเป็นดุลยภาพแห่งพหุวัฒนธรรมอยู่ร่วมด้วยความต่างอย่างลงตัว

และ ..ทุกอย่างมันเคยเกิดขึ้นจริง

วัยเด็กของข้าพเจ้า …มีวันวานที่อบอุ่นและมีร่องรอยของความสงบสุข

แม้จะเป็นเพียงอดีต …แต่มันก็เคยเกิดขึ้นจริง

และข้าพเจ้ามีความสุขทุกครั้งที่ได้คิดถึง

        แต่วันนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไป

        “วันเด็ก”  วันนี้เปลี่ยนไปจากเดิมมากมายนัก

        หรืออาจเป็นเพราะว่า

        “วันเด็ก”  วันนี้ ไม่ใช่ “วัยเด็ก” ของข้าพเจ้าอีกต่อไป     

 

#สายลมแห่งตักวา