เรื่องเล่า…เท่าที่สังเกต (เฉพาะกิจ)
ตอน อิสรภาพที่ถูกรบกวน
นับเป็นเวลานานมากแล้วที่ไม่ได้มาเยือนสถานีรถไฟยะลา ทั้งที่ข้าพเจ้าคือคนยะลาโดยกำเนิด ย้อนไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน สถานีรถไฟแห่งนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนหนาแน่นเลยทีเดียว เรียกว่าทุกสายอาชีพเลยก็ว่าได้ ที่ต่างต้องผ่านการบริการหรือไม่ก็ต้องคุ้นเคยกับสถานีรถไฟแห่งนี้เป็นอย่างดี
ในอดีตที่นี่คือศูนย์การค้าแห่งใหญ่ในตัวเมืองยะลา แม้ปัจจุบัน ธุรกิจหลายอย่างอาจซบเซาลงไปบ้าง ด้วยปัจจัยหลายด้าน ทั้งด้านการเปลี่ยนแปลงของการจัดระเบียบใหม่ตามนโยบายการพัฒนา ตัวอาคารใหม่ที่เพิ่มความสะดวกสบายยิ่งขึ้น การใช้บริการของผู้คนอาจดูบางตาลงไปบ้าง อาจเนื่องด้วยทางเลือกของระบบขนส่งที่เพิ่มขึ้น และการบริการของทางรถไฟที่ยังคงสม่ำเสมอในเรื่องเวลา (ประโยคหลังนี้…ข้าพเจ้าอาจเข้าใจไปเอง)
รถไฟขบวนที่ 172 ต้นทางสถานีสุไหงโก-ลก ปลายทาง สถานีกรุงเทพฯ ค่อยๆ เคลื่อนตัวช้าๆ ผ่านสายตาข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นบอกไม่ถูก จำไม่ได้ว่านั่งรถไฟครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แต่โดยความรู้สึกส่วนตัวแล้ว การนั่งรถไฟคือสิ่งที่ข้าพเจ้าโปรดปราณที่สุด
วันนี้ข้าพเจ้าได้นัดหมายกับเพื่อนจากโลกโซเชี่ยลคนนึง โดยเรารู้จักกันจากการเป็นแอดมินในกลุ่ม “ประชาชาติอิสลาม” ด้วยกัน ซึ่งเราต่างมีจุดหมายปลายทางที่เดียวกันนั่นคือ กรุงเทพฯ เพื่อนข้าพเจ้าคนนี้อายุอานามไล่เลี่ยกับข้าพเจ้า แต่ประสบการณ์และการใช้ชีวิตของเธอ ดูแล้วน่าจะมากกว่าอายุด้วยซ้ำ ที่น่าทึ่งสำหรับข้าพเจ้าคือ เธอเป็นนักเขียนที่มีคนติดตามในเฟสบุ๊ค เกือบ 8 หมื่นคน ความน่าทึ่งนี้ไม่ใช่ที่ผู้ติดตามจำนวนมาก ทว่าเธอเป็นนักเขียนที่เรียนจบแค่ชั้น มัธยม 2 เท่านั้น หนังสือที่เธอเขียนหลายเล่มล้วนแต่ได้รับความนิยมในหมู่ของบรรดามุสลิมะฮฺ ด้วยแนวการเขียนที่เป็นไปในลักษณะเป็นเพื่อน พร้อมสอดแทรกความรู้ หลักคิดและแนวทางของศาสนา
“การเรียนรู้ไม่ใช่แค่…ในห้องเรียน” นี่คือคำพูดของเธอ
จากการพูดคุยกับเธอเท่าที่สังเกต อุดมการณ์ของเธอค่อนข้างจะชัดเจนในการที่อยากจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีเกิดขึ้นในสังคมมุสลิม โดยเฉพาะกลุ่มคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ แม้จะรู้ดีว่าเป็นเรื่องที่ยาก แต่เธอเชื่อว่ามันต้องเกิดขึ้นแน่นอนในวันข้างหน้า “อินชาอัลลอฮฺ” คำกล่าวที่เธอเอ่ยจนคุ้นชิน
ตลอดการเดินทาง เราคุยกันถูกคอ เริ่มจากเรื่องของความคิด ทัศนะ และมุมมอง ในสังคมปัจจุบัน จนถึงเรื่องหลักการของศาสนา ต้องยอมรับว่า เรื่องศาสนา เธอใฝ่เรียนรู้และเพิ่มพูนอยู่สม่ำเสมอ เพราะเธอเชื่อมั่นว่า ศาสนา คือเข็มทิศที่จะนำทางเธอทุกวิถีการดำเนินชีวิตแน่นอน และเท่าที่สังเกต เธอเป็นนักอ่านตัวยง เลยทีเดียว โดยเฉพาะหนังสือเกี่ยวกับศาสนา จากการที่เธอแนะนำให้ข้าพเจ้าอ่าน
ข้าพเจ้าถามถึง เหตุการณ์ที่เธอถูกคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ทหารไปยังค่ายอิงคยุทธฯ ปัตตานี เธอเล่าให้ข้าพเจ้าฟังอย่างอารมณ์ดีว่า ได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่อย่างดี ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่เธออยู่ที่นั่น หากแต่เพียงเธอและสามีถูกแยกให้พักคนละที่กันเท่านั้น
เมื่อย้อนไปช่วงก่อนที่เธอจะถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐเชิญตัวไป ขั้นตอนการปฏิบัติต่างๆ ดูจะรวดเร็วจนเธอตั้งรับไม่ทันเลย โดยก่อนหน้านี้ได้มีคนแจ้งให้เธอทราบล่วงหน้าแล้วว่า จะมีเจ้าหน้าที่มาเยี่ยมเธอเพื่อสอบถามรายละเอียดบางอย่างซึ่งไม่ได้ระบุถึงความต้องการที่ชัดเจนแต่อย่างใด และเธอก็คิดว่ารอให้ภารกิจการจัดค่ายอบรบที่เธอรับหน้าที่เป็นวิทยากรเสร็จสิ้นลงก่อน เธอจะเป็นฝ่ายเดินทางไปหาเจ้าหน้าที่เอง
ปมปัญหาเกิดจากอะไร และอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องการข้อมูลจากเธอ ที่สำคัญคือ ข้อมูลเหล่านั้นเกี่ยวกับอะไร ทุกอย่างที่เกิดขึ้นถูกทิ้งเป็นคำถามให้สังคมงุนงงและชวนสงสัยจนถึงทุกวันนี้
แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าสังเกต จากแววตาของเธอ เธอไม่ได้ยี่หระหรือหวาดกลัวต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอแม้แต่น้อย เสมือนว่าเธอได้ก้าวข้ามผ่านความรู้สึกเหล่านั้นมาแล้ว สิ่งที่น่าคิดต่อจากนี้ไป คือ “อิสรภาพของเธอ จะถูกรบกวน” หรือไม่?
ทราบมาว่าเธอต้องเข้าไปรายงานตัวทุกเดือนตามกำหนดการของเจ้าหน้าที่ ณ ค่ายอิงคยุทธบริหารจังหวัดปัตตานี และเธอจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนให้เห็นเพื่อเป็นการยืนยันถึงความร่วมมือกับทางการ ซึ่งเธอก็คงต้องเตรียมตัวรับมือกับกระแสต่อต้านจากสังคมรอบข้างของเธอรวมถึงสังคมออนไลน์ที่เธอมีผู้ติดตามมากมาย และพวกเขาจะมีมุมมองต่อเธออย่างไรนับจากนี้ สิ่งเหล่านี้คือบททดสอบที่เธอต้องฝ่าฟันไปให้ได้ “อินชาอัลลอฮฺ”
การสนทนาของเราครั้งนี้ ทำให้เธอ ได้รู้ความจริงว่า ข้าพเจ้า คือ หนึ่งในผู้ติดตามเธอด้วย เชื่อเหลือเกินว่าการพบกันของเราทั้งสองคน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน นั่นเป็นเพราะอัลลอฮฺกำหนดมาแล้วจริงๆ
อัลฮัมดูลิลาฮฺ
#อิสรภาพที่ถูกรบกวน
#สายลมแห่งตักวา