Skip to main content

 

ผู้หญิงในฐานะสมาชิกของสังคม

 

ชัยคฺ ดร.ยูสุฟ อัล เกาะเราะฎอวียฺ

 

 

ผู้ที่มีความลำเอียง ซึ่งถูกชักนำโดยผลประโยชน์ส่วนตัว ได้โฆษณาชวนเชื่อว่า อิสลามบังคับให้ผู้หญิงขังตัวอยู่แต่ในบ้าน โดยจะไม่ออกไปข้างนอก ยกเว้นออก ไปยังหลุมฝังศพ

คำตัดสินดังกล่าว เป็นหลักการพื้นฐานที่ปรากฏอยู่จริงในอัลกุรอาน หรือซุนนะฮฺ ตลอดจน ประวัติศาสตร์ของมุสลิมะฮฺสามร้อยปีแรกหรือไม่? แน่นอนว่า ไม่ !!!

อัลกุรอานได้ทำให้ผู้ชายและผู้หญิงเป็นหุ้นส่วน ในการแบกรับหน้าที่อันหนักหน่วงใน การใช้ชีวิตแบบอิสลาม และหน้าที่ในการสั่งใช้ในความดีและ ห้ามปรามในความชั่ว พระองค์ ผู้ทรงเกรียงไกรตรัสความว่า “และบรรดามุอฺมินชาย และบรรดามุมินหญิงนั้น บางส่วนของพวกเขาต่างเป็นผู้ ช่วยเหลือ อีกบางส่วน ซึ่งพวกเขาจะใช้ให้ปฏิบัติในสิ่งที่ชอบและห้ามปรามในสิ่งที่ไม่ชอบ และพวกเขาจะดำรงไว้ซึ่งการละหมาดและจ่ายซะกาต และภักดีต่ออัลลอฮ์ และร่อซูลของ พระองค์” อัตเตาบะฮฺ 71

ตัวอย่างของการนำหลักการข้างต้นไปใช้คือการที่ผู้หญิงคนหนึ่ง ขณะที่นางอยู่ในมัสญิด นางไม่เห็นด้วยกับท่านอุมัรฺ อัลฟารุก และแย้งท่านขณะที่ท่านกำลังกล่าวคุฏบะฮฺอยู่บนมิมบัรฺ อุมัรฺยอมรับความเห็นของนางและสลัดความคิดตัวเองโดยกล่าวอย่างเปิดเผยว่า ผู้หญิงคนนั้น ถูกต้อง ส่วนอุมัรฺผิด

ท่านเราะซูลกล่าวความว่า “การแสวงหาความรู้เป็นหน้าที่เหนือมุสลิมทุกคน” (บันทึกโดย อิบนุมาญะฮฺ) อุละมาอฺมุสลิมต่างเห็นตรงกันว่าผู้หญิง (มุสลิมะฮฺ) ถูกรวมอยู่ในความหมายของ ฮะดีษนี้ด้วย

ในฐานะที่เป็นหน้าที่เหนือเธอ ที่จะต้องรู้ว่าสิ่งใดบ้างที่จะทำให้อะกีดะฮฺของเธอเสียหาย ปรับปรุงการอิบาดะฮฺของเธอ และควบคุมกริยามารยาท ให้สอดคล้องกับจริยธรรมแห่งอิสลาม เป็นต้น เป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องรู้จักบัญญัติต่างๆ ของอัลลอฮฺในเรื่องที่ฮะลาลและฮะรอม รวมทั้งสิทธิและหน้าที่ของเธอ เธอสามารถที่จะบรรลุสถานะขั้นสูงของความรู้ จนสามารถที่จะอิจญติฮาดได้ (วินิจฉัยปัญหาทางศาสนา)

ในกรณีที่ผู้เป็นสามีไม่สามารถที่จะสอนนางหรือสอนได้ไม่ดีพอ สามีของนางไม่มีสิทธิที่ จะห้ามนางจากการแสวงหาความรู้อันเป็นหน้าที่ของนาง บรรดาภรรยาของเหล่าเศาะฮาบะฮฺ เคยไปหาท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เพื่อถามปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับนาง ความละอายไม่ได้กีดขวางพวกนางจากการแสวงหาความรู้ด้านศาสนาให้ดีขึ้น

การละหมาดญะมาอะฮฺ ไม่ได้เป็นข้อเรียกร้องสำหรับผู้หญิง เหมือนกับที่เป็นหน้าที่ สำหรับผู้ชาย การละหมาดที่บ้านเป็นสิ่งที่ดีกว่า สำหรับสภาพ และการเรียกร้องของพวกเธอ อย่างไรก็ตามสามีของนาง ไม่สามารถห้ามนาง หากนางต้องการจะไปละหมาดร่วมที่มัสญิด ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวความว่า “อย่าได้ห้ามผู้หญิง ในการที่นางจะไปยังมัสญิด ของอัลลอฮฺ” (บันทึกโดยมุสลิม)

ผู้หญิงสามารถออกไปนอกบ้านเพื่อไปทำภารกิจของตัวนาง หรือสามี หรือลูกๆ ในสนามหรือในตลาด ดังที่ท่านหญิงอัสมาอฺ บินติอบูบักรฺ กล่าวว่า “ฉันเคยทูนอินทผลัมบน ศีรษะ จากที่ดินของอัซซุเบรฺ สามีของฉัน ขณะที่ฉันอยู่ในมะดีนะฮฺ และมันอยู่ห่างจากตัวเมือง มะดีนะฮฺประมาณสองในสามไมล์”

ผู้หญิงสามารถเข้าร่วมกับกองทัพ เพื่อให้การช่วยเหลือในขั้นต้น ทำหน้าที่พยาบาล หรือบริการในรูปแบบ ที่คล้ายคลึงกันอันเหมาะสมกับธรรมชาติ และความถนัดของนาง อิมาม อะฮฺมัดและบุคอรียฺ ได้เล่าฮะดีษที่รายงานจาก อัรฺรุบัยอียฺ บินติมุอาวิษชาวอันศ็อรฺ ซึ่งกล่าวความว่า “พวกเราออกไปยังสมรภูมิร่วมกับท่านเราะซูล เตรียมน้ำให้พวกผู้ชาย คอยช่วยเหลือพวกเขา และส่งผู้ที่ถูกฆ่าและได้รับบาดเจ็บกลับไปยังมะดีนะฮฺ” (บันทึกโดยอิมามอะฮฺมัด)

อิมามมุสลิมได้บันทึกคล้ายกับอิมามอะฮฺมัดซึ่งรายงานมาจาก อุมมุอะติยะฮ โดยนาง กล่าวความว่า “ฉันออกไปสู้รบพร้อมกับท่านเราะซูลเจ็ดครั้ง ติดตามพวกเขาไปทุกยุทธการ จัดเตรียมอาหาร เยียวยาแผลและช่วยเหลือคนเจ็บ” (บันทึกโดยอิมามอะฮฺมัด, มุสลิม)

นี่คือการงานของผู้หญิงและเป็นธรรมชาติการปฏิบัติหน้าที่ของเธอ แต่การแบกอาวุธ และสู้รบหรือนำกองทหารไม่ใช่การงานของพวกเธอ นอกจากว่ามีความจำเป็นพิเศษ สำหรับ บางกรณี ดังนั้น พวกเธอสามารถร่วมมือกับผู้ชายในการต่อสู้กับศัตรูอย่างเต็มความสามารถ เท่าที่เธอจะทำได้

ในสงครามฮุนัยนฺ อุมมุ ซัลมฺ ได้พกดาบ เมื่อสามีของนางถามถึงเหตุผล นางตอบว่า “ฉันพกมันเพื่อว่าหากมีพวกมุชริกเข้าใกล้ฉัน ฉันจะเสียบที่ท้องของเขา” (บันทึกโดยมุสลิม)

อุมมฺ อิมาเราะฮฺหญิงชาวอันศ็อรฺ ได้ต่อสู้ในสงครามอุฮุดอย่างเหนียวแน่น จนกระทั่ง ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ถึงกับยกย่องนาง และในสงครามของ เศาะฮาบะฮ ฺนางได้เข้าร่วมด้วยตนเองจนกระทั่งมุซัยละมะฮฺ อัลกัซซาบ(จอมโกหก) ถูกฆ่า และนางได้กลับ พร้อมบาดแผลจากการถูกแทงนับสิบแห่ง

หากช่วงใดผู้หญิงถูกพรากจากความรู้ โดดเดี่ยวอยู่แต่ในบ้านราวกับว่าเธอเป็น เฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่ง สามีไม่ได้อบรมให้ความรู้ ทั้งยังไม่เปิดโอกาสให้แสวงหาความรู้ แม้แต่การไปมัสญิดก็ยังถูกมองว่าต้องห้าม ถ้าหากว่าภาพเช่นปรากฏอยู่ทั่วไป ดังนั้น นี่คือ ผลผลิตจากความไม่รู้ เป็นความเลยเถิดที่เบี่ยงเบนไปจากทางนำแห่งอิสลาม มันคือ ความเคร่งครัดเกินจริง ที่อัลลอฮฺไม่ได้ทรงยินยอม อิสลามไม่มีส่วนรับผิดชอบใดๆ ต่อประเพณี ที่ขาดเหตุผลที่มาจากอดีต

ในทำนองเดียวกันอิสลามไม่มีส่วนรับผิดชอบสำหรับความเกินเลยอื่นๆ ที่เป็นระเบียบ ประเพณีของยุคสมัย ธรรมชาติของอิสลามเป็นความสมดุลที่เรียบง่ายซึ่งปรากฏอยู่ในทุกบท บัญญัติ รวมทั้งสิ่งที่ได้รับการส่งเสริมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์ และศีลธรรมจรรยา อิสลามมิได้อนุญาตสิ่งหนึ่งเพื่อที่จะห้ามอีกสิ่งหนึ่ง ไม่เลยเถิดไปด้านหนึ่ง โดยยอมสูญเสีย อีกด้านหนึ่ง ไม่เกินเลยในการให้สิทธิ และไม่เกินเลยในการกำหนดหน้าที่รับผิดชอบ

เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว อิสลามมิได้ตั้งใจที่จะพะเน้าพะนอผู้หญิง จนยอมสูญเสียผู้ชาย และมิได้มีเจตนาที่สร้างความพอใจแก่ความคิดชั่วแล่นของผู้หญิง เพื่อลดกระแสการเรียกร้อง ของพวกเธอ และไม่ใช่การสร้างความพอใจให้กับฝ่ายชายด้วยการลดเกียรติของผู้หญิง แต่เรา จะพบว่าท่าทีของอิสลามที่มีต่อผู้หญิงถูกแสดงไว้ดังต่อไปนี้

เป็นการปกป้อง ดังที่เราได้กล่าวมาแล้ว ธรรมชาติและความเป็นผู้หญิงของนาง ตามที่ อัลลอฮฺทรงสร้าง และเป็นการปกป้องเธอจากหมาป่า ซึ่งคอยจ้องเขมือบสิ่งที่เธอหวงแหน และห่างไกลจากความตะกละของผู้คอยเอารัดเอาเปรียบ ซึ่งคอยแต่จะขูดรีดจากความเป็น ผู้หญิงของเธอในฐานะเป็นสินค้าและกำไรต้องห้าม เป็นการให้เกียรติแก่หน้าที่อันสำคัญยิ่ง อันเป็นสัญชาติญาณของเธอและพระผู้ทรงสร้างได้เลือกให้กับเธอ ซึ่งพระองค์ทรงมอบให้กับ นาง ในสัดส่วนมากกว่าฝ่ายชายในเรื่องของ ความมีใจสงสาร ความรัก ความรู้สึก อ่อนไหวและความตื่นเต้นง่ายเพื่อ เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับเสียงเรียกร้องของความเห็นอก เห็นใจ ในความเป็นแม่ ซึ่งคอยดูแลผลิตผลอันยิ่งใหญ่ของประชาชาติ เป็นความอุตสาหะ ของชนในรุ่นต่อไป

อิสลามถือว่าบ้านเป็นอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของผู้หญิง นางเป็นผู้ที่มีอำนาจในบ้าน เป็นหัวหน้า และเป็นแกนหลักของบ้าน นางคือภรรยาของสามี เป็นหุ้นส่วนของเขา เป็นสิ่งปลอบประโลมเมื่อยามเหงาและเป็นมารดาของเด็กๆ และอิสลามเห็นว่างานของผู้หญิง ในการดูแลบ้าน ปรนนิบัติสามี และเลี้ยงดูลูกๆ ของนางเป็นความดี เช่นเดียวกับการอิบาดะฮฺ และการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ ดังนั้นอิสลามจึงขัดขวางวิธีการ และระบบต่างๆ ที่คอยขัดขวางนางจากการทำภารกิจของนางให้สมบูรณ์ หรือทำให้นางปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างไม่เต็มที่หรือเป็นการทำลายบ้านของนางนั่นเอง

วิธีการหรือระบบทั้งหลายที่พยายามจะนำผู้หญิงออกจากอาณาจักรของนาง แยกเธอ ออกจากสามี หรือย้ายเธอออกห่างลูกๆ ในนามของเสรีภาพ การทำงาน ศิลปะ ฯลฯ ทั้งหมดล้วนเป็นศัตรูของผู้หญิงที่ต้องการจะแย่งชิงทุกอย่างจากตัวนาง แต่มันเองกลับมิได้ มอบสิ่งใดให้แก่นาง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอิสลามได้ปฏิเสธสิ่งเหล่านี้

อิสลามปรารถนาที่จะสร้างบ้านที่มีความสุข เพื่อจะเป็นรากฐานของสังคมที่สงบสุข บ้านที่มีความสุขนั้น วางอยู่บนความมั่นใจ และความชัดเจนไม่ใช่ความสงสัย และความสับสน ครอบครัวที่มีความสับสนและความหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา เป็นครอบครัวที่ตั้งอยู่บนขอบเหว แห่งความหายนะ เป็นครอบครัวที่ชีวิตต้องทนทุกข์ทรมานจนไม่อาจทนได้

อิสลามอนุญาตให้เธอทำงานนอกบ้าน โดยเป็นงานที่มีคุณค่าที่เหมาะสมกับธรรมชาติของนาง เกี่ยวพันกับนาง และความสามารถของนาง และจะต้องไม่บดทำลายความเป็นผู้หญิง งานของนางได้รับการอนุญาตภายใต้ขอบเขตที่จำกัดและเงื่อนไขที่ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อนาง หรือครอบครัวของนางจำเป็นต้องมีงานนอกบ้าน หรือสังคมต้องการงานของนาง เป็นกรณีพิเศษ ความจำเป็นของงานจะไม่จำกัดเฉพาะความจำเป็นทางการเงินเท่านั้น แต่อาจมี ความจำเป็นทางจิตวิทยา เช่นความจำเป็นที่ต้องมีผู้หญิงที่ เชี่ยวชาญ เฉพาะทาง โดยที่นางอาจยังโสด หรือไม่มีลูกหรือนางมีเวลาว่างเพียงพอซึ่งจะช่วยบรรเทาความเบื่อหน่าย