ชีวิตกับอากาศ และศาสนา
บรรจง บินกาซัน
ตราบใดที่มนุษย์ต้องการอากาศ ตราบนั้น มนุษย์ก็ต้องการศาสนาเนื่องด้วยเหตุผลหลายประการที่มนุษย์ไม่อาจปฏิเสธได้
ประการแรก ดังที่คัมภีร์กุรอานกล่าวไว้ มนุษย์นั้นถูกกำเนิดมาในสภาพที่อ่อนแอและไม่รู้ นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ลูกสัตว์เกิดมาไม่ถึงชั่วโมงก็เดินได้และมันรู้ด้วยว่าแม่ของมันคือตัวไหนที่มันจะไปกินนม แต่ทารกมนุษย์กว่าจะยืนและเดินได้ต้องใช้เวลาแรมปี และหากถูกทิ้งไว้โดยแม่ไม่อุ้มมาป้อนนมให้ ทารกก็ไม่อาจมีชีวิตรอด
แม้โตขึ้นมาแล้ว มนุษย์ก็ยังไม่รู้จักวิธีการใช้ชีวิตและไม่รู้จุดหมายปลายทางของชีวิต คนประเภทนี้จึงเหมือนคนตาบอดเดินหลงทิศผิดทางและเข้ารกเข้าพงลงเหวในที่สุด นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเมื่อพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาและให้อากาศแก่มนุษย์หายใจเพื่อมีชีวิตรอดแล้ว พระองค์ยังได้ประทานศาสนาแก่มนุษย์เพื่อเป็นคู่มือการใช้ชีวิตและแผนที่นำทางชีวิตด้วย
ถ้ามนุษย์ต้องปฏิบัติตามคู่มือการใช้รถยนต์ที่ตัวเองไม่ได้สร้างฉันใด มนุษย์ก็ต้องปฏิบัติตามคู่มือการใช้ชีวิตที่มนุษย์ไม่ได้สร้างขึ้นมาเองฉันนั้น ถ้าคู่มือใช้รถยนต์กำหนดให้ใช้น้ำมันเบนซิน แต่คนขับรถยนต์เอาน้ำมันดีเซลไปใส่ ไม่นานเครื่องยนต์ก็พัง เช่นเดียวกัน ถ้าคู่มือใช้ชีวิตของมนุษย์กำหนดให้กินน้ำ แต่มนุษย์กินแอลกอฮอล์แทน ไม่นาน ชีวิตก็บรรลัยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ พื้นฐานคำสอนหลักๆของทุกศาสนาจึงมีความละม้ายคล้ายคลึงกันและมนุษย์ส่วนใหญ่จะรู้จักพื้นฐานคำสอนของศาสนาอยู่ในส่วนลึกของชีวิต ไม่ต่างไปจากวิศวกรรู้จักตัวเลขหนึ่งถึงสิบ เด็กประถมหนึ่งก็รู้จักเช่นเดียวกัน เพียงแต่วิศวกรได้มีโอกาสเรียนวิชาคณิตศาสตร์มากกว่าเด็กเท่านั้น
ในทุกศาสนามีคำสอนพื้นฐานเรื่องความเชื่อคล้ายๆกัน เช่น ความเชื่อในอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือความเชื่อในพระเจ้า ความเชื่อในการมีอยู่จริงของนรกและสวรรค์ เป็นต้น ยิ่งเรื่องคุณธรรมความดีนั้นแทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกัน เช่น ทุกศาสนายอมรับคุณธรรมแห่งความกตัญญูกตะเวทีและปฏิเสธการกดขี่ข่มเหงหรือความไม่เป็นธรรม เป็นต้น
ลองกลับไปศึกษาวัตรปฏิบัติและคำสอนของผู้ที่นำศาสนามาเผยแผ่สั่งสอนดูสิครับ เราจะพบว่าคำสอนของทุกศาสนาเตรียมพื้นที่ไว้อย่างกว้างขวางพอที่จะทำให้มนุษย์ทุกศาสนิกสามารถยืนอยู่ร่วมกันอย่างสงบและสามารถร่วมมือกันสร้างความเจริญให้แก่สังคมได้เป็นอย่างดี
แต่สิ่งที่ทำให้มนุษย์ปฏิบัติศาสนาแตกต่างกันก็เพราะกฎระเบียบของศาสนาในแต่ละยุคสมัยแตกต่างกันในรายละเอียดบางเรื่อง ไม่ต่างจากกฎหมายในปัจจุบันที่มีรายละเอียดแตกต่างไปจากกฎหมายในอดีตเมื่อหลายร้อยปีก่อน แต่วัตถุประสงค์หลักของกฎหมายไม่ว่าจะสมัยใดก็ยังคงเดิม นั่นคือ การรักษาความสงบและการจัดระเบียบสังคม
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คำสอนของศาสนาผิดแผกแตกต่างไปจากเดิมก็คือการสูญหายไปของบันทึกคำสอนศาสนาซึ่งทำให้คำสอนของศาสนาถูกถ่ายทอดผิดเพี้ยนไปจากเดิม แต่เหตุผลที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือการอธิบายคำสอนศาสนาโดยผู้รู้ศาสนาที่แสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัวเองและความไม่รู้ศาสนาของคนที่อ้างว่าตัวเองนับถือศาสนานั้น
นั่นคือเหตุผลว่าทำไม ตลอดระยะเวลานับตั้งแต่มีมนุษย์บนโลกใบนี้ จึงมีผู้ถูกส่งมาฟื้นฟูความศรัทธาของมนุษย์ให้กลับไปสู่คำสอนดั้งเดิมของศาสนาที่พระเจ้าประทานมา นบีมุฮัมมัดบอกว่าก่อนหน้าท่านขึ้นไปจนถึงอาดัมมนุษย์คนแรก มีมนุษย์ที่ถูกคัดเลือกเป็นนบีทำหน้าที่ดังกล่าวนี้ถึง 124,000 คน ในจำนวนนี้มีชื่อกล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอาน 25 คนและมีคัมภีร์ทางศาสนาถูกประทานแก่นบีเหล่านี้ถึง 313 เล่มซึ่งคัมภีร์เหล่านี้มีหลงเหลือให้คนรุ่นเรารู้จักเพียงไม่กี่เล่มเท่านั้น
ความเสื่อมทรามทางศีลธรรมที่แพร่ระบาดไปทั่วโลกจนเป็นปัญหาที่แก้กันไม่ตกก็เพราะมนุษย์ฉีกตัวออกจากศาสนาหลังจากที่มนุษย์มีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเหยียบย่ำศีลธรรมจนกระทั่งมนุษย์ได้รับความเสื่อมเอง
วันนี้ เรื่องธรรมาภิบาล กฎหมายลงโทษที่เด็ดขาดต่อฆาตกรโหด กฎหมายต่อต้านการทุจริต และอื่นๆในทำนองนี้เป็นสิ่งที่ผู้คนเรียกร้องและรณรงค์กัน สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงพอที่จะเป็นหลักฐานยืนยันหรือว่าในที่สุดแล้ว มนุษย์ยังคงต้องการศาสนาพอๆกับอากาศ