โลกนี้อยู่เพื่อไป โลกหน้าไปเพื่ออยู่
บรรจง บินกาซัน
ด้วยความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มนุษย์ไม่เพียงแต่ส่งยานอวกาศไปยังดวงจันทร์เท่านั้น แต่ยังพยายามเดินทางต่อไปยังดาวอังคารและดาวดวงอื่นๆเพื่อค้นหาว่ามีดาวดวงใดมีชีวิตอาศัยอยู่เหมือนโลกมนุษย์หรือไม่และพยายามหาดูว่ามีดาวดวงใดที่มนุษย์สามารถไปตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยได้เหมือนโลกใบนี้
เราได้ยินข่าวจากองค์การนาซาว่าบนดาวอาคารมีร่องรอยที่แสดงให้เห็นเหมือนเป็นแหล่งน้ำ และล่าสุดเราได้ยินข่าวการค้นพบดาวดวงอื่นๆที่มีลักษณะคล้ายกับโลก แต่อยู่ห่างไกลจากโลกเป็นพันปีแสง
แสงเดินทางด้วยความเร็ว 186,000 ไมล์ต่อวินาที ปีหนึ่งมีกี่วินาทีผู้อ่านคำนวณดูแล้วกันว่าอีกกี่ชาติมนุษย์จะไปถึงดาวดวงนั้น ขนาดดวงจันทร์ที่เป็นดาวที่ใกล้โลกที่สุด มนุษย์ยังมีข้อสงสัยกันอยู่ว่าภาพนีล อาร์มสตรอง นักบินอวกาศชาวอเมริกันที่ไปเหยียบผิวดวงจันทร์คนแรกนั้นเป็นภาพจริงหรือภาพที่สร้างขึ้นมา
คำสอนของศาสนาไม่มีคำสั่งห้ามความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ แต่ถ้าความอยากรู้อยากเห็นทำให้เสียเวลาและทรัพยากรจำนวนมากมาย ศาสนาจะแนะนำให้มนุษย์ใช้เวลาทุ่มเทกับโลกใบนี้ที่มนุษย์ต้องอยู่และสนใจโลกหน้าที่มนุษย์ต้องไปจะเป็นการดีกว่า
เมื่อคัมภีร์กุรอานพูดถึงโลกหรือแผ่นดินที่อยู่อาศัย (Earth) คัมภีร์กุรอานจะใช้คำว่า “อัรฺฎ์” ซึ่งเป็นคำเอกพจน์ เมื่อพระเจ้าจะสร้างอาดัม พระองค์ได้กล่าวว่า “ข้าจะสร้างตัวแทนคนหนึ่งขึ้นบนแผ่นดิน(อัรฺฎ์)” (กุรอาน 2:30 ) ดังนั้น คนมุสลิมจึงเชื่อว่าโลกใบนี้เป็นนิคมแห่งเดียวในจักรวาลที่มีเผ่าพันธุ์มนุษย์อาศัยอยู่
แต่ที่สำคัญคือคัมภีร์กุรอานบอกว่าโลกใบนี้ถูกสร้างเพื่อเป็นที่พักชั่วคราวให้ชีวิตต้องเดินทางต่อ ใครจะได้พักอยู่นานแค่ไหนไม่มีใครรู้ และโลกนี้มีเส้นทางที่จะไปสู่โลกหน้าซึ่งเป็นโลกแห่งความจริงและเป็นโลกนิรันดร ทุกชีวิตจะได้ไปอย่างแน่นอน แต่ต้องผ่านความตายที่เป็นจุดแบ่งระหว่างโลกนี้กับโลกหน้าเหมือนกับยานอาวกาศที่ต้องเดินทางผ่านขอบชั้นบรรยากาศตรงจุดหนึ่งเพื่อไปสู่อีกชั้นบรรยากาศหนึ่ง
ในขณะที่องค์การนาซาของสหรัฐยังไม่รู้ว่ารูปแบบของชีวิตบนดวงจันทร์ บนดาวอังคารและดาวดวงอื่นๆเป็นอย่างไร ศาสนาได้ให้ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตโลกหน้าไว้เหมือนกับข้อมูลภาพสวยงามและคำบรรยายที่บริษัทท่องเที่ยวจัดเตรียมไว้ให้นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปยังจุดหมายได้รู้ล่วงหน้าก่อน
แม้ในขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานอวกาศหรือบริษัทท่องเที่ยวใดเคยไปถ่ายภาพนรกและสวรรค์มาจัดทำโบรชัวร์พามนุษย์ไปเที่ยวชม แต่ศาสนาจะให้คำบรรยายไว้นานหลายพันปีแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ศาสนายังบอกถึงการเตรียมตัวไปด้วยว่าจะต้องทำอย่างไร ทั้งนี้เนื่องจากทุกศาสนามีความเชื่อในเรื่องโลกหน้าเป็นพื้นฐานเหมือนกัน
เมื่อโลกนี้เป็นโลกที่อยู่เพื่อไปและโลกหน้าเป็นโลกแห่งความจริงที่มนุษย์ต้องไปเพื่ออยู่ พระเจ้าจึงส่งนบีมุฮัมมัดมาบอกให้มนุษย์ได้รับรู้ความจริงเพื่อจะได้เตรียมตัว แต่เมื่อท่านนบีมาบอก ชาวอาหรับกลับปฏิเสธ พระเจ้าจึงได้ประทานข้อความตอนหนึ่งแก่ท่านนบีมุฮัมมัดว่า :
“แล้วเราได้ทำให้เขาเป็นเชื้ออสุจิในที่พักอันมั่นคง (มดลูก) แล้วเราได้ทำให้อสุจิเป็นก้อนเลือด ก้อนเนื้อ แล้วทำก้อนเนื้อให้เป็นกระดูก แล้วหุ้มกระดูกนั้นด้วยเนื้อ แล้วเราได้เป่าวิญญาณให้เขากลายเป็นอีกรูปร่างหนึ่ง” (กุรอาน 23:14)
ข้อความดังกล่าวปรากฏอยู่ในคัมภีร์กุรอานเมื่อ 1,400 กว่าปีก่อน มันดูเหมือนกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ชีวภาพ แต่วัตถุประสงค์ที่แท้ของข้อความดังกล่าวต้องการจะยกตัวอย่างให้ชาวอาหรับในเวลานั้นรู้ว่าโลกนี้ก็เหมือนกับโลกหน้าของทารกในครรภ์ และโลกหน้าก็คือโลกถัดไปของมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้
ทารกผ่านช่องคลอดของมารดามายังโลกนี้และทิ้งรกไว้ฉันใด เมื่อเติบใหญ่สมบูรณ์แล้ว มนุษย์ทุกคนต้องคลอดอีกครั้งหนึ่งโดยช่องทางแห่งความตายและทิ้งสังขารไว้ในโลกนี้ฉันนั้น
โลกแห่งหลุมฝังศพคือโลกที่แท้จริงที่ทุกคนต้องไปอย่างแน่นอน ดังนั้น จงเตรียมตัวเตรียมใจไว้ด้วยพลังความดี เพราะว่าเมื่อวันสิ้นโลกมาถึง เราจะได้เดินทางผ่านโลกแห่งหลุมฝังศพไปสู่โลกอันนิรันดร์ที่ความกว้างใหญ่ไพศาลของมันเกินกว่าพันปีแสง