กำเนิดพิธีกรรมทางศาสนาในอิสลาม (1)
โดย รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน
นักวิชาการด้านศาสนวิทยามองว่าศาสนาหลักในโลกมีที่มาร่วมกันโดยอิสลามอยู่ในกลุ่มศาสนาอิบรอฮีม (Abrahamism) ซึ่งประกอบด้วยฮานิฟ ยูดาย คริสต์ และอิสลาม ทั้งยังมีความเห็นว่าพราห์มณ์ ฮินดูและพุทธอาจแตกแขนงมาจากกลุ่มศาสนานี้ด้วยก็ได้ กลุ่มศาสนาในลัทธิอิบรอฮีมมีศรัทธาตรงกันว่าทุกสรรพสิ่งในจักรวาลรวมทั้งมนุษย์มาจากพระผู้เป็นเจ้าหรืออัลลอฮฺ มนุษย์แม้มีชีวิตอิสระทว่าถูกกำหนดให้แบ่งปันเวลาส่วนหนึ่งแสดงความภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า โดยอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงส่งนบีหรือผู้นำสารจากพระองค์ลงมาเป็นระยะเพื่อชี้นำแนวทางที่ถูกต้องให้มนุษย์ได้รู้จักหน้าที่และรำลึกถึงพระองค์ จากกรอบคิดนี้อิสลามจึงมิได้เริ่มที่นบีมูฮำมัด (ซ.ล.) ในคริสต์ศตวรรษที่ 7 แต่กำเนิดขึ้นก่อนหน้านั้นนานหลายพันปี
ในความเชื่อของกลุ่มศาสนาอิบรอฮีม มนุษย์คนแรกคือนบีอาดัม (อ.ล.) ส่วนจะเป็นเมื่อใดนั้นไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน ทว่าเมื่อพิจารณาจากการตั้งถิ่นที่อยู่ พบว่าเกษตรกรรมเริ่มต้นเมื่อหมื่นปีมาแล้ว มนุษย์เริ่มลงหลักปักฐานสร้างชุมชนจากนั้นอารยธรรมจึงค่อยๆเพาะตัวขึ้นในหลายพื้นที่โดยปรากฏให้เห็นเมื่อประมาณ 5,000 ปีที่ผ่านมา พัฒนาไปสู่การกำเนิดศาสนาอันมีพิธีกรรมที่มีความเชื่อศรัทธาเป็นองค์ประกอบ ตามบันทึกตำนานเก่าแก่ที่สุดที่ปรากฏ พิธีกรรมในศาสนาที่มีกระบวนการเป็นกิจลักษณะเริ่มต้นในยุคสมัยของนบีอิบรอฮีม (อ.ล.) เมื่อประมาณ 4,000 ปีล่วงมาแล้ว ท่านถือกำเนิดในพื้นที่ที่ปัจจุบันคือตอนใต้ของประเทศอิรัก บ้างก็ว่าเป็นทิศตะวันออกของตุรกี ครั้งนั้นชุมชนเมืองพัฒนาขึ้นมากแล้ว จากนั้นท่านอพยพไปอยู่ในพื้นที่ที่เป็นแผ่นดินคะนาอัน (Canaan) ซึ่งเป็นปาเลสไตน์ในปัจจุบัน
นบีอิบรอฮีม (อ.ล.) มีบุตรหลายคนโดยคนโตคือนบีอิสมาอีล (Ishmael) กำเนิดจากนางฮาญัร (Hagar) ซึ่งเป็นภรรยาคนที่สอง ขณะที่บุตรคนที่สองคือนบีอิสหาก (Isaac) ซึ่งมีอายุไม่ต่างกันนักถือกำเนิดจากนางซาเราะฮฺ (Sarah) ภรรยาคนแรก จากความขัดแย้งของภรรยาทั้งสองคน เป็นผลให้นบีอิบรอฮีมนำนางฮาญัรและบุตรชายซึ่งอายุยังน้อยออกจากบ้านเดินทางรอนแรมลงมายังดินแดนที่เรียกว่าฮิญาซ (Hejaz) ก่อนจะปล่อยให้ทั้งสองพักอาศัยอยู่ท่ามกลางทะเลทรายโดยลำพัง วันหนึ่งในขณะที่มีสภาพขาดน้ำ การค้นพบบ่อน้ำซัมซัม (Zam zam) จึงเกิดขึ้นในเขตที่ต่อมากลายเป็นเมืองมักกะฮฺ (Makkah) ในปัจจุบัน
บันทึกทางศาสนามีว่านบีอิสมาอีลซึ่งยังเป็นเด็กอยู่มากเกิดอาการขาดน้ำ นางฮาญัรวิ่งเสาะหาน้ำระหว่างเนินเขาอัศเศาะฟา (Safa) และอัลมัรวะฮฺ (Marwah) ซึ่งอยู่ห่างกัน 450 เมตร วิ่งหาอยู่ 7 รอบเทียบเท่าระยะทาง 3.5 กิโลเมตร กระทั่งหมดแรงต้องย้อนกลับมาหาบุตรชายจึงพบน้ำไหลซึมออกมาตรงจุดที่บุตรชายนอนอยู่ น้ำจากบ่อน้ำซัมซัมซึ่งผุดขึ้นจากใต้ดินตั้งอยู่ไม่ไกลจากเนินเขาอัศเศาะฟามีน้ำไหลแรงจนกระทั่งทุกวันนี้ ในเวลาอีกไม่นานหลังจากนั้นนบีอิบรอฮีมเดินทางมาเยี่ยมบุตรและภรรยาจึงสร้างอาคารกะอฺบะฮฺ (Kaabah) ขึ้นห่างจากบ่อน้ำซัมซัม 30 เมตรห่างจากเนินเขาอัศเศาะฟา 130 เมตรและเนินเขาอัลมัรวะฮฺ 350 เมตร พิธีกรรมทางศาสนาในกลุ่มศาสนาอิบรอฮีมเริ่มต้นขึ้นในช่วงเวลานั้น กรณีอาคารกะอฺบะฮฺนี้บ้างก็ว่าเป็นอาคารเก่าที่มีมาก่อนหน้านั้นแล้ว
บ่อน้ำซัมซัมนำพาคาราวานอาหรับเผ่าญุรฮุม (Jurhum) จากยะมันทางตอนใต้ที่เดินทางขึ้นไปค้าขายที่ดินแดนชาม (Sham) ทางตอนเหนือขอเข้ามาอาศัยอยู่ด้วยโดยสร้างเป็นชุมชนขึ้น ต่อมาหญิงสาวจากชนเผ่านี้แต่งงานกับนบีอิสมาอีลกำเนิดลูกหลานสืบเชื้อสายต่อเนื่องกว่าร้อยชั่วคนยาวนานกว่า 2,600 ปีกระทั่งถึงยุคนบีมูฮำมัด (ซ.ล.) เนื่องจากคนอาหรับในทะเลทรายอาระเบียมีประเพณีหนึ่งที่ยึดถือกันมานานคือการนับเครือเถาเหล่ากอโดยวิธีจดจำทำให้รู้ว่าตระกูลของนบีมูฮำมัด (ซ.ล.) สืบเชื้อสายโดยตรงมาจากนบีอิสมาอีล ขณะที่นบีมูซา (โมเสส) และนบีอีซา (เยซู) สืบเชื้อสายมาจากนบีอิสหาก ทั้งสามศาสนาจึงมีจุดกำเนิดเดียวกันคือนบีอิบรอฮีม (อ.ล.)
ในส่วนพิธีกรรมที่สำคัญคือการนมาซหรือละหมาดอันเป็นการนมัสการต่อพระผู้เป็นเจ้า การถือศีลอด การทำฮัจญฺ ทั้งหมดถือกำเนิดขึ้นในยุคสมัยของนบีอิบรอฮีม (อ.ล.) ทั้งสิ้น พิธีกรรมดังกล่าวได้รับการปฏิบัติสืบต่อกันมาในกลุ่มศาสนาอิบรอฮีมไม่ว่าจะเป็นฮานิฟ ยูดาย คริสต์และอิสลาม อย่างไรก็ตาม ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งกับพิธีกรรมในศาสนาและกับเมืองมักกะฮฺเอง ชนอาหรับเผ่าญุรฮุมถูกขับไล่โดยชนอาหรับเผ่าคุซาอะฮฺ (Kusaa) ก่อนทิ้งเมืองมักกะฮฺ ชนญุรฮุมทำการปิดปากบ่อน้ำซัมซัม บ่อน้ำนี้จึงหายไปเหลืออยู่แต่อาคารกะอฺบะฮฺที่กลายเป็นสถานที่บูชาเทวรูปของคนเดินทางผ่านไปมาระหว่างดินแดนยะมันทางตอนใต้และชามทางตอนเหนือที่มาพร้อมกับพิธีกรรมทางศาสนาที่ผิดเพี้ยนไปมาก
วันเวลาล่วงเลยไปกระทั่งถึงยุคอับดุลมุตตอลิบซึ่งเป็นปู่ของนบีมูฮำมัด พิธีกรรมในกลุ่มศาสนาอิบรอฮีมกลายไปเป็นพิธีกรรมนอกศาสนาจนหมด แปดเปื้อนไปด้วยการบูชาเทวรูปที่มีจำนวนมากมาย พิธีกรรมที่ตกทอดไปสู่ศาสนาฮานิฟ ยูดายและคริสต์ผิดเพี้ยนไปจากเดิม ช่วงเวลานั้นอับดุลมุตตอลิบและบุตรชายคือฮาริษได้ค้นพบบ่อน้ำซัมซัมที่หายไปนานนับร้อยปีอีกครั้งหนึ่ง ครอบครัวของอับดุลมุตตอลิบจึงกลายเป็นผู้พิทักษ์บ่อน้ำซัมซัมนับแต่นั้น ต่อมาเมื่อนบีมูฮำมัด (ซ.ล.) นำอิสลามมาเผยแผ่มีการชำระพิธีกรรมศาสนาเสียใหม่ด้วยการชี้นำจากอัลลอฮฺ (ซ.บ.) พิธีกรรมในศาสนาอิสลามไม่ว่าจะเป็นการนมาซ ถือศีลอด และฮัจญฺจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งโดยยึดแนวทางที่ถือกำเนิดขึ้นในยุคนบีอิบรอฮีมเมื่อกว่า 2,600 ปีล่วงมาแล้ว
เอกสารอ้างอิง
1. Prof.Dr.Mehmet Soysaldi. Firaz University, Erazig, Turkey. Was there Ritual Prayer before Islam? http://www.lastprophet.info/was-there-ritual-prayer-before-…. Retrieved 15 April 2017
2. Ibn Habib, Abu Ja´far Muhammad, Kitab al-Muhabbar, Beirut, trs, pp.171-172; Muslim, IV, 1920.
3. Al Qur’an: 2: 2-3, 43, 83, 125; 4:103; 11:114; 14:37; 15:97-99; 16:123; 17:79; 19: 54-55; 22: 26; 23: 1-2, 9, 40; 31:17; 73:1-4.