ไฟใต้ : ฟ้าหลังฝนของคนรอดชีวิต
เหตุการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกิดขึ้นมานับตั้งแต่ต้นปี 2547 หรือกว่า 13 ปีมาแล้ว ทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 6,500 คน และบาดเจ็บกว่า 12,000 คน ส่วนใหญ่เป็นประชาชนทั่วไปที่อาศัยอยู่ในพื้นที่
นางละออ พรหมจินดา เป็นคนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บเพราะถูกยิงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2557 ซึ่งวันที่ 15 พ.ค.นี้ก็จะครบสามปีแล้ว แม้จะรอดมาได้ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ชีวิตต้องแปรเปลี่ยน นางละออ บอกเล่าเรื่องราวของเธอไว้ใน "หลังรอยยิ้ม" หนังสือที่เขียนโดยคนธรรมดาทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากเหตุไม่สงบ
"เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องมายิงเรา เพราะเราเป็นแม่ค้าธรรมดา เราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใคร แล้วยิงเราเพราะอะไร เราก็ไม่รู้สาเหตุ อาจจะเป็นเพราะว่าช่วงนั้นเค้ายิงผู้หญิงที่อ่อนแอกว่า เราก็ไม่รู้" เธอบอกกับผู้สื่อข่าว
นางละออ หรือป้าละออ อายุ 52 ปี พื้นเพเดิมเป็นคนสงขลา แต่งงานแล้วย้ายมาอยู่บ้านสามีที่ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี มีลูกสองคน เธอบอกว่าก่อนหน้านั้นชีวิตครอบครัวมีความสุข ไม่เคยต้องลำบาก แต่หลังจากสามีเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจเมื่อปี 2550 เธอต้องกลายเป็นเสาหลักของครอบครัว เพราะทำงานคนเดียว ขณะที่ลูกก็ยังเล็ก
ในหนังสือ หลังรอยยิ้ม ป้าละออเล่าว่า "ต้องปลุกลูก ๆ ตั้งแต่ตีสามไปขายของกันที่ตลาดนัด ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก บางวันไม่มีรายได้อะไรเลย มีไข่ต้มหนึ่งฟอง ก็ต้องแบ่งกับลูกคนละครึ่ง "
จนได้มีโอกาสขายข้าวแกงในโรงเรียนมัธยมใกล้บ้านแห่งหนึ่ง ความเป็นอยู่จึงดีขึ้น และเริ่มขยับขยายเปิดร้านขายข้าวแกงร้านเล็ก ๆ ริมถนนหน้าบ้านเมื่อปี 2555
แต่ขายได้ปีกว่า ๆ ชีวิตของครอบครัวป้าละออต้องเจอวิกฤติพลิกผันอีกครั้ง ป้าละออตกเป็นเหยื่อเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2557
"ป้าถูกยิงขณะขายข้าวแกงอยู่หน้าบ้าน มีวัยรุ่นผู้ชายสองคนขับรถผ่าน แต่เห็นผิดสังเกต เขาผ่านหน้าร้านไปแล้วก็เลี้ยวกลับมา ไม่เคยเห็นหน้า โชคดีที่เห็นปืนเขาก่อน พอเห็นปืนก็วิ่ง แต่สุดท้ายก็วิ่งไม่ทันโดนยิงเข้าข้างหลังหนึ่งนัด"
ป้าละออได้รับบาดเจ็บ แพทย์ผ่าตัดเอากระสุนออก แต่แผลติดเชื้อทำให้เธอต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลกว่า 20 วัน โดยได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจาก ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) 30,000 บาท หลังจากนั้นเธอก็กลับมาพักฟื้นต่อที่บ้านจนหายแต่ไม่กล้ากลับไปขายข้าวแกงตามเดิม
"กลัว เราก็ไม่รู้ว่าลูกค้ามาซื้อของ หรือว่ามาทำอะไร เลยไม่กล้าขาย กลัวมาก ไม่กล้าไปไหน อยู่แต่บ้าน ไม่อยากจะพบผู้คน ไม่อยากจะเห็นผู้ชาย เราหวาดระแวงไปหมด" ป้าละออกล่าว เธอบอกว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่ลำบากที่สุด เพราะไม่มีรายได้ และตัวเองยังไม่มีความกล้าที่จะออกไปทำงานนอกบ้าน ได้แต่รับจ้างทำงานเล็ก ๆ น้อยใกล้ ๆ บ้าน มีรายได้วันละร้อยกว่าบาท
แม้รอยแผลที่โดนยิงที่หลังจะหาย แต่แผลในใจของป้าละออยังคงอยู่ เกือบหกเดือนที่เธอเก็บตัวอยู่กับบ้าน อยู่กับความกลัว จนบางครั้งต้องพึ่งยาคลายเครียด แต่ในที่สุดเธอได้ลุกขึ้นอีกครั้ง หลังเครือข่ายผู้หญิงภาคประชาสังคมเพื่อสันติภาพชายแดนใต้เข้าไปเยี่ยมเยียน และทำให้เธอได้กล้าออกไปเปิดโลกทัศน์ใหม่ ๆ
"เราก็เริ่มจะรู้จักหลาย ๆ คน เพื่อน ๆ ที่ได้รับผลกระทบมาเล่าประสบการณ์ ว่าของเขาอย่างโน้น อย่างนี้ ก็คิดในใจว่าของเรายังน้อยไป ของเขาเยอะกว่าเรา เขายังยืนอยู่ได้ เขายังสู้ได้ เราขนาดนี้เราจะสู้ไม่ได้หรือ" ป้าละออเล่าเพิ่มเติมว่า อีกกำลังใจสำคัญที่ทำให้เธอต้องลุกขึ้นมาคือลูก ๆ เธอบอกว่าเคยคุยกับลูก ๆ ว่าเราจะทำอย่างไรกันดี ไม่มีงานทำ ลูกบอกว่าทนได้ ประหยัด ๆ กัน เราก็อยู่ได้ เลยทำให้เธอต้องลุกขึ้นสู้อีกครั้ง
"ลูก เป็นแรงบันดาลใจทุกสิ่งทุกอย่าง เราไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรให้ลูก ทำให้มีแรงจูงใจว่าเราต้องทำงานนะ เราต้องฝ่าฝันอุปสรรคไปให้ได้นะ เราต้องส่งเสียลูกให้เรียนให้จบ" ป้าละออกล่าวกับบีบีซีไทย
ธันวาคม ปี 2557 ป้าละออลุกขึ้นสู้และยิ้มได้อีกครั้งกับการเริ่มต้นอาชีพใหม่ นั่นคือการทำน้ำพริกสมุนไพรขายตามงานของดีชายแดนใต้ และงานโอท็อปทั่วประเทศ ด้วยความช่วยเหลือของ ศอ.บต. เธอเล่าประสบการณ์ครั้งแรกของการออกไปขายน้ำพริกที่จังหวัดเพชรบุรีว่ากังวลไปหมดกลัวจะขายไม่ได้ กลัวไม่มีคนซื้อ แต่สุดท้ายเธอก็ทำได้
"ได้สามพันก็ดีใจมาก ในชีวิตเราไม่เคยขายของได้วันละสามพัน วิ่งเข้าไปกรี๊ดในห้องน้ำเพราะดีใจ คิดในใจว่าชีวิตเราต้องไปไกลแล้ว ชีวิตไปโลดเลย" ป้าละออเล่าให้บีบีซีไทยฟัง
ป้าละออบอกว่า สิบกว่าปีหลังจากสามีเสียชีวิต เธอมีแต่น้ำตาที่ตกอยู่ข้างในและไม่เคยได้ยิ้ม แต่มาถึงวันนี้เธอบอกว่ายิ้มได้แล้ว เพราะสามารถส่งเสียให้ลูก ๆ ได้เรียนถึงระดับปริญญาตรี และแม้เธอจะไม่ได้เป็นคนดั้งเดิมที่นี่ แต่ด้วยความผูกพันและอยู่ในพื้นที่มานานเธอไม่อยากย้ายไปไหน และได้แต่รอว่าเมื่อใดจังหวัดชายแดนภาคใต้จะเกิดความสงบสุขเสียที
"อยากให้สงบ อยากให้พี่น้องไทยพุทธไทยมุสลิมเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม เราอยากจะเป็นแบบนั้น แต่ก่อนอยู่ปะนาเระ สบายมาก ไปไหนมาไหนก็ได้ เราไม่เคยกลัว"
เผยแพร่ครั้งแรกที่ http://www.bbc.com/thai/thailand-39897620