ปรัชญาการแต่งงานในอิสลาม
--------------------------
เชค ยูสุฟ อัลเกาะเราะฎอวียฺ
คำถาม ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่า มีกระแสที่โน้มที่ชักนำคนหนุ่มสาว ให้หลีกห่างจากการแต่งงาน ด้วยวิธีการอันหลากหลาย เช่น การข่มขู่พวกเขา ในเรื่องหน้าที่รับผิดชอบ ที่จะต้องแบกรับ เช่นเดียวกับการโยนความลังเลใจ ในเรื่องการแต่งงาน มีหนทางที่จะตอบโต้ข้อกล่าวหาเหล่านี้บ้างไหม?
คำตอบ อิสลามมุ่งสร้างปัจเจกชนที่ดี มีคุณธรรม อันเป็นรากฐานสำคัญ ในโครงสร้างทางสังคมของประชาชาติ ขณะเดียวกันอิสลาม ยังแสวงหาการสร้างครอบครัวที่ดี ให้เกิดขึ้นมาอีกด้วย อันเป็นปัจจัยสำคัญ และเป็นปัจจัยพื้นฐาน ในการสร้างสังคมที่ดี ไม่มีใครโต้แย้งว่า การแต่งงานซึ่งเป็นการรวมผู้ชายกับผู้หญิง เป็นหนึ่งเดียว ด้วยการสมรสที่ถูกต้องนั้น เป็นรากฐานในการสร้างครอบครัว ไม่มีทางที่ครอบครัวที่แท้จริง หรือครอบครัวที่ดี จะดำรงอยู่ได้ เว้นแต่ด้วย การสมรส ซึ่งเป็นแนวทางที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงบัญญัติไว้
แนวคิดที่ผิดเพี้ยนของการครองตนเป็นโสด
ตลอดยุคสมัย มนุษย์ได้เรียนรู้แนวคิด และกระแสที่คัดค้านการแต่งงาน มาโดยตลอด ในเปอร์เซีย (อิหร่านปัจจุบัน) ก่อนการมาของอิสลาม ที่นั่นได้ปรากฏปรัชญามะนี (Mani’s philosophy สมัยบาบิโลน 216 ก่อนคริสตศักราช) ซึ่งอ้างว่า โลกนี้เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ที่จะต้องทำลาย และ การห้ามแต่งงานนั้น นับเป็นแนวทางที่ส่งผลอย่างรวดเร็วที่สุด ในการที่จะบรรลุ เป้าหมายนี้
ภายใต้นามของคริสต์ศาสนาได้ปรากฏ นักบวชหัวรุนแรง ที่ตำหนิวิถีการดำเนินชีวิต เรียกร้องให้มีการกักขัง (ผู้หญิง) ไว้ในโบสถ์ และห้ามการแต่งงาน เนื่องจากพวกเขาถือว่า ผู้หญิงเป็นสาเหตุของการยั่วยวน และเป็นปีศาจในร่าง มนุษย์ การเข้าใกล้ตัวเธอนั้น นับเป็นบาป ที่ทำให้จิตวิญญาณไม่บริสุทธิ์ และทำให้บุคคลหนึ่ง ต้องหลุดออกจากสวนสวรรค์
ในปัจจุบัน เรื่องนี้ยังปรากฏอยู่ในคนตะวันตก ซึ่งมีมุมมองเป็นลบ โดยการประณามผู้หญิงทั้งหมดว่า เธอเป็นเสมือนอสรพิษ ที่มีสัมผัสอันนุ่มนวล แต่กลับมีพิษร้ายถึงตาย พวกเขากล่าวว่า การแต่งงานได้เปิดโอกาสทอง ให้กับเธอ ในการที่จะวางผู้ชาย ให้อยู่ภายใต้อำนาจ และผูกมัดเขา ด้วยหน้าที่รับผิดชอบ ฉะนั้น เหตุใดผู้ชายจึงยอมสละเจตนารมณ์เสรีของเขา โดยเลือกที่จะวางโซ่ตรวน ไว้รอบคอของตนเอง ทั้งๆ ที่เขาเกิดมาอย่างอิสรเสรี
เป็นเรื่องที่น่าเศร้า ที่คนหนุ่มสาวมุสลิมของเรา ในยุคปัจจุบันนี้ ตกเป็นเหยื่อแนวคิดที่ผิดเพี้ยนดังกล่าว โดยการตัดสินใจ ที่จะไม่แต่งงาน ซึ่งต้องมีภาระรับผิดชอบ ข้อผูกมัด และการถูกจำกัด (ความเป็นอิสระ) อันไม่สิ้นสุด อาจกล่าวได้ว่า พวกเขาปรารถนาที่จะใช้ชีวิต เสมือนเด็กๆ ที่ไม่ต้องแบกรับ หน้าที่รับผิดชอบใดๆ เมื่อต้องพ่ายแพ้ต่อความปรารถนา หรือการเรียกร้อง ตามสัญชาตญาณ การทำผิดประเวณีอันชั่วช้า จึงเป็นสิ่งที่ดับแรงปราถนาของพวกเขา แทนที่จะแต่ง งานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แทน
เป้าหมายของการแต่งงานในอิสลาม
ก) ตามบทบัญญัติ และบรรทัดฐานที่มาจากพระเจ้านั้น ไม่มีสิ่งใดที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของมันได้ อย่างลำพัง อัลลอฮฺทรงกำหนดทุกสิ่ง ให้มีความจำเป็น ต่ออีกสิ่งหนึ่ง จากประเภทของมัน เพื่อว่าสิ่งนั้น จะได้เติมเต็มให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง ในเรื่องของประจุไฟฟ้า ทั้งขั้วบวกและขั้วลบ จำเป็นต้องมีการปฏิสัมพันธ์กัน เพื่อก่อให้เกิดกระแส ไฟฟ้า เกิดแสงสว่าง ความร้อน การเคลื่อนไหว เช่นเดียวกัน อิเลคตรอนและโปรตรอน จำเป็นต้องมีการปฏิสัมพันธ์กัน ในอะตอมตัวหนึ่ง ในพืช ละอองเกสรได้นำเกสรตัวผู้ มาโปรยลงบนยอดเกสรตัวเมีย ของดอกไม้ เพื่อที่จะทำให้เกิดพืชผล และเมล็ดพันธ์อื่นๆ สัตว์ตัวผู้และตัวเมีย จำเป็นต้องมีการปฏิสัมพันธ์กัน เพื่อการขยายพันธ์
อัลกุรอานนำเสนอบทบัญญัติอันสากลนี้ ได้อย่างเด่นชัด ในสองอายะฮฺที่ความว่า “และ จากทุก ๆ สิ่งนั้น เราได้สร้าง (มัน) ขึ้น เป็นคู่ ๆ เพื่อพวกเจ้าจะได้ใคร่ครวญ” อัซ ซาริยาต 49 “มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระผู้ทรงสร้างทุกสิ่งทั้งหมด เป็นคู่ ๆ จากสิ่งที่แผ่นดินได้ (ให้มัน) งอกเงยขึ้นมา และจากตัวของพวกเขาเอง และจากสิ่งที่พวกเขาไม่รู้” ยาซีน 36 ในการตอบสนองต่อบทบัญญัตินี้ อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้วางเงื่อนไขที่ประเสริฐ สำหรับชายและหญิง เพื่อรวมกันเป็นหนึ่งบนหนทางนี้ ซึ่งเป็นสถานะอันสูงส่ง ของความเป็นมนุษย์ นั่นคือการแต่งงงาน
อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงทำให้หัวใจของเพศชาย มีความปรารถนาต่อเพศหญิง และทรงทำให้หัวใจของหญิง มีความปรารถนาต่อผู้ชาย แต่ละคนในหมู่พวกเขา ถูกขับด้วยแรงปรารถนา ที่มีมากกว่าความหิว และความกระหาย แต่ละคนในหมู่พวกเขา รู้สึกถึงความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ในชีวิตของเขา หรือเธอ ที่สามารถเติมเต็ม ได้ด้วยการรวมกันเท่านั้น ตามบทบัญญัติจากผู้เป็นเจ้า เรียกการรวมดังกล่าวว่า เป็นการแต่งงาน หลังจากนั้น ความมั่นคง จะเข้ามาแทนที่ความสับสน ความมั่นใจ จะเข้ามาแทนที่ความกระวนกระวาย ฝ่ายหนึ่งจะพบกับความสงบ ความรัก ความเมตตา จากอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นการสร้างความสดใส ให้กับชีวิต และกล่อมเกลาจิตวิญญาณของพวกเขา สิ่งที่จะกล่าวดังต่อไปนี้ เป็นสัญญาณหนึ่ง ของอัลลอฮฺ ที่ปรากฏในจักรวาลของพวกเรา ดังที่อัลกุรอานกล่าว ความว่า ”และหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลาย ของพระองค์ คือ ทรงสร้างคู่ครองให้แก่พวกเจ้า จากตัวของพวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้มีความสุขอยู่กับนาง และ ทรงมีความรักใคร่ และความเมตตาระหว่างพวกเจ้า แท้จริงในการนี้ แน่นอน ย่อมเป็นสัญญาณ แก่หมู่ชนผู้ใคร่ครวญ” ซูเราะฮฺ อัร รูม 21
ข) การขยายเผ่าพันธุ์ เป็นผลทางธรรมชาติจากการแต่งงาน ช่วยทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ ได้สืบต่อออกไป สิ่งนี้จึงนับเป็นความโปรดปรานประการหนึ่ง ที่พระองค์ทรงประทานให้มนุษย์ ดังดำรัสที่ความว่า “และอัลลอฮ์ทรงกำหนดคู่ครองแก่พวกเจ้า ซึ่งมาจากหมู่พวกเจ้า และทรงทำให้พวกเจ้า มีลูกและหลานจากคู่ครองของพวกเจ้า และทรงประทานริซกีจาก สิ่งดี ๆ แก่พวกเจ้า ดังนั้น ต่อสิ่งเท็จพวกเขาศรัทธา และต่อความโปรดปรานของอัลลอฮ์ พวกเขาเนรคุณ กระนั้นหรือ?” ซูเราะฮฺ อันนะหฺลฺ 72
เป็นเหตุผลเดียวกันที่ท่านนบี ซะกะรียา อะลัยฮิสลาม ได้วิงวอนขอต่ออัลลอฮฺความว่า “และ จงรำลึกถึงเรื่องราวของซะกะรียา เมื่อเขาไร้องเรียนพระเจ้าของเขาว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงอย่าปล่อยให้ข้าพระองค์ อยู่อย่างเดียวดาย และพระองค์ท่านเท่านั้น เป็นผู้สืบมรดกอันดียิ่ง” อัล อัมบิยาอฺ 89 และอายะฮฺที่ความว่า “และแท้ จริงข้าพระองค์ กลัวลูกหลานของข้าพระองค์ ภายหลัง (การตายของ) ข้าพระองค์ และภริยาของข้าพระองค์ ก็เป็นหมันด้วย ดังนั้น ขอพระองค์ทรงโปรดประทาน ทายาที่ดีจากพระองค์ แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด, ผู้ซึ่งจะสืบทายาทแทนข้าพระองค์ และสืบทายาท จากตระกูลของยะอ์กูบ และขอพระองค์ทรงโปรดให้เขา เป็นที่โปรดปรานด้วยเถิด ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์” ซูเราะฮฺ มัรยัม 5-6 เช่นเดียวกับที่ท่านนบี อิบรอฮีม ซึ่งนับว่าเป็นบิดาของบรรดานบี อะลัยฮิมิสลาม วิงวอนขอต่ออัลลอฮฺ ความว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงประทานบุตร ที่มาจากหมู่คนดี ให้แก่ข้าพระองค์ด้วย, ดังนั้น เราจึงแจ้งข่าวดีแก่เขา (ว่าจะได้) ลูกคนหนึ่ง ที่มีความอดทนขันติ (คือ อิสมาอีล)” ซูเราะฮฺ อัศศอฟฟาต 100-101 และ “นรกญะฮันนัมที่มีเปลว ไฟร้อนจัดของมัน และมันเป็นที่พำนักอันชั่วช้า” ซูเราะฮฺ อิบรอฮีม 29 อัล กุรอานได้พรรณนาถึงบ่าวของพระองค์ว่า “นรกญะฮันนัม ที่มีเปลวไฟร้อนจัดของมัน และมันเป็นที่พำนักอันชั่วช้า” ซูเราะฮฺ อัล ฟุรกอน
การที่จำนวนประชากรเติบโต และเพิ่มจำนวนมากขึ้น ทำให้มีพลังอำนาจ และสามารถเผชิญหน้ากับศัตรูได้ จะมีใครสักกี่คน ที่จะคิดถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ฝูงชนและมวลชน เป็นสิ่งต้องคำนึงถึง เมื่อพิจารณาพลังอำนาจทางโลก อัลลอฮฺเล่าถึงท่านนบี ชุอัยบฺ อะลัยฮิสลาม ที่บอกกับกลุ่มชนของเขาความว่า “...และจงรำลึกถึงขณะที่พวกท่าน มีจำนวนน้อย แล้วพระองค์ได้ทรงให้พวกท่าน มีจำนวนมากขึ้น และพวกท่านจงดูเถิดว่า ผลสุดท้ายของบรรดาผู้ก่อความเสียหายนั้น เป็นอย่างไร?” ซูเราะฮฺ อัล อะอฺรอฟ 86 นอกจากนี้ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ยังกล่าวความว่า “พวกท่านจงแต่งงาน (และเพิ่มลูกหลาน) เถิด เพื่อว่าฉันจะนำจำนวนที่มากของพวกท่าน ไปอวดประชาชาติอื่นๆ ในวันกิยามะฮฺ และอย่าตกเข้าไปสู่การเป็นพวกนะศอรอ” รายงานโดย อัล บัยฮากียฺจากสายรายงานของอบู อุมามะฮฺและอ้างมาจากอัล ญามิอฺ อัศ ศอฮียฺ
การเพิ่มจำนวนประชากรจะช่วยรักษาเผ่าพันธุ์ มนุษย์ทั้งหมดบนโลกจนกว่าจะถึงเวลาหนึ่งเมื่อชีวิตมาถึงจุดจบ อัลลอฮฺ ตะอาลากล่าวความว่า และ “มนุษยชาติทั้งหลาย ! จงยำเกรงพระเจ้าของพวกเจ้า ที่ได้บังเกิดพวกเจ้ามาจากชีวิตหนึ่ง และได้ทรงบังเกิดจากชีวิตนั้น ซึ่งคู่ครองของเขา และได้ทรงให้แพร่สะพัด ไปจากทั้งสองนั้น ซึ่งบรรดาชายและบรรดาหญิง อันมากมาย...” ซูเราะฮฺ อัน นิสาอฺ 1 “โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้า จากเพศชาย และเพศหญิง และเราได้ให้พวกเจ้า แยกเป็นเผ่า และตระกูล เพื่อจะได้รู้จักกัน...” อัล หุจญร๊อต 13
ค) การแต่งงานทำให้ความศรัทธาของคนๆ หนึ่งมีความสมบูรณ์ ปกป้องจากการมองผู้หญิงอื่น ทำให้เขาสามารถรักษาความบริสุทธิ์ และเสนอทางออก ที่ถูกต้องต่อแรงปรารถนาทางเพศของเขา จึงเป็นการปิดหนทางของการทำผิดประเวณี นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไม่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม จึงพูดถึงการแต่งงานว่า จะช่วยปกป้องคนๆ หนึ่ง จากการมองในสิ่งที่ต้องห้าม หรือการตกเข้าไปสู่การทำผิดประเวณี ท่านนบี ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวอีกเช่นกันความว่า “เมื่อบ่าวคนใดได้แต่งงาน เท่ากับว่าเขาได้ทำให้ศาสนาสมบูรณ์ ไปแล้วครึ่งหนึ่ง ดังนั้น จงสำรวมตนต่ออัลลอฮฺ ซึ่งเป็นครึ่งที่เหลือ” รายงานโดย อัล ฏ๊อบรอนียฺและอัล ฮากิมและอัล มุนซิรกล่าวในตัรฆีบว่า เป็นหะดีษศอฮียฺด้วยกับสายรายงานที่ดี
ง) การแต่งงานมิได้แค่เพียงปกป้องคุ้มครอง ความศรัทธาของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นเสาหลักที่ขาดเสียไม่ได้ ในเรื่องความสุขทางโลก ซึ่งอิสลามส่งเสริม ให้ผู้ที่ดำเนินตาม ได้มีความพึงพอใจ เพื่อจะได้ไม่มีสิ่งใดมาดึงดูดพวกเขา จากเป้าหมายอังสูงส่ง ของการยกระดับจิตวิญญาณ ให้สูงขึ้น อิมามมุสลิมรายงานว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัมกล่าวความว่า “ดุนยานี้คือความรื่นรมณ์ และสิ่งที่รื่นรมณ์ที่สุดในโลกนี้ก็คือ ผู้หญิงที่ดี” มีรายงานว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวความว่า สี่ประการอันจะนำมาซึ่งความสุขได้แก่ ภรรยาที่ดี บ้านที่กว้างขวาง เพื่อนบ้านที่ดี ยานพนะที่สุขสบาย (รายงานโดย อัล ฮากิม อบู นูอัยมฺ อัล บัยฮากียฺ)
จ) การแต่งงานคือวิธีการเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ในการสถาปนาครอบครัว อันเป็นแก่นกลางของสังคม สังคมที่ดี จะไม่มีอยู่ หากไม่วางรากฐานอยู่บนครอบครัวที่ดี ภายใต้ร่มเงาแห่งความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ของความเป็นแม่ ความเป็นพ่อ เช่นเดียวกับผู้ปกครองของลูกๆ และความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง ความรู้สึกที่อบอุ่นแห่งความรัก ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเมตตา ความเอาใจใส่ และความร่วมไม้ร่วมมือ ซึ่งได้รับการปลูกฝังในตัวมุสลิม
ฉ) ความสัมพันธ์ทางสังคม ได้รับการค้ำชูจากการแต่งงาน เป็นการทำให้ขอบข่ายของครอบครัวได้แผ่ขยาย เช่น ญาติ โดยการแต่งงานของเขา และน้าอาของลูกๆ ของเขา เป็นหนทางที่ทำให้รู้สึกถึงความเป็นฉันท์มิตร ความรักและความใกล้ชิดทางสังคม ได้แผ่ขยายครอบคลุผู้คน ได้มากยิ่งขึ้น อัลลอฮฺได้ทำให้การแต่งงาน สร้างความแข็งแกร่ง ผ่านความสัมพันธ์แบบเครือญาติ อัลลอฮฺ ตะอาลา กล่าวความว่า “และพระองค์คือผู้ทรงบังเกิดมนุษย์ จากน้ำ (อสุจิ) และทรงทำให้มีเชื้อสาย และเครือญาติ และพระเจ้าของเจ้านั้น เป็นผู้ทรงอานุภาพ” อัล ฟุรกอน 54
ช) การแต่งงานทำให้บุคลิกภาพของคนๆ หนึ่ง เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น จากภาระหน้าที่รับผิดชอบ ที่เขาต้องแบกรับไว้ ในฐานะที่เป็นสามีและพ่อ และเช่นเดียวกันทำให้บุคลิกภาพ ของผู้หญิง เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ดังที่เราได้อธิบายมาแล้ว ผู้ชายจำนวนมาก หลีกหนีจากการแต่งงาน เพราะว่าพวกเขาปรารถนาที่จะใช้ชีวิตแบบ เด็กที่โตแล้ว ที่ไม่มีข้อผูกมัดใดๆ กับพวกเขา ไม่มีบ้านที่จะรวมพวกเขา หรือหน้าที่รับผิดชอบ ที่พวกเขาจะต้องแบกรับภาระ คนเหล่านี้ไม่พร้อมที่จะใช้ชีวิต พวกเขาไม่เอาถ่าน เพราะฉะนั้นการแต่งงาน เป็นข้อผูกมัดอันแข็งแกร่ง และร่วมแบ่งหน้าที่รับผิดชอบ ระหว่างชายกับหญิง นับตั้งแต่วันแรกที่อยู่ร่วมกัน อัล ลอฮฺ ตะอาลา กล่าวความว่า “...และพวกนางนั้น จะได้รับเช่นเดียวกับสิ่งที่เป็นหน้าที่ ของพวกนาง จะต้องปฏิบัติโดยชอบธรรม และสำหรับบรรดาชายนั้น มีฐานะเหนือพวกนางขั้นหนึ่ง และอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ” อัล บากอเราะฮฺ 228 “บรรดาชายนั้น คือผู้ที่ทำหน้าที่ปกครองเลี้ยงดูบรรดาหญิง เนื่องด้วยการที่อัลลอฮฺ ได้ทรงให้บางคนของพวกเขาเหนือกว่าอีกบางคน และด้วยการที่พวกเขาได้จ่ายไปจากทรัพย์ของพวกเขา บรรดากุลสตรีนั้นคือผู้จงรักภักดี ผู้รักษาในทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ลับหลังสามี เนื่องด้วยสิ่งที่อัลลอฮฺทรงรักษาไว้” อันนิสาอฺ 34
ท่าน นบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวความว่า “พวกเจ้าทุกคนเป็นผู้รับผิดชอบ และพวกเจ้าทุกคน ต้องถูกสอบถาม จากความรับผิดชอบ ในบุคคลที่อยู่ภายใต้การดูแล ผู้ที่เป็นสามีก็มีหน้าที่รับผิดชอบ ในครอบครัว และเขาจะถูกถามถึงบุคคล ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขา ผู้ที่เป็นภรรยา ก็มีหน้าที่รับผิดชอบ ในบ้านของสามีนาง และนางจะถูกถามถึงบุคคล ที่อยู่ภายใต้การดูแลของนาง” มุตะฟักกุล อะลัยฮ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวความว่า “มนุษย์จะกระทำบาปใหญ่ ก็เมื่อเขาได้ทำลายผู้ที่เขาดูแลอยู่” (รายงานโดย อะหฺมัด อบู ดาวูด อัล ฮากิมและอัล บัยฮากียฺ จากสายรายงานของท่าน อิบนุ อุมัร) ท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ยังกล่าวอีกความว่า “อัลลอฮฺจะทรงถามผู้รับผิดชอบ ในสิ่งที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขา ไม่ว่าเป็นสิ่งที่เขาปกป้องดูแล หรือทำลายมันก็ตาม” (รายงานโดย อัน นาซาอียฺ และอิบนุ ฮิบบาน จากสายรายงานของท่านอะนัส) และท่านนบีกล่าวอีกความว่า “คู่สมรสหนึ่งจะได้รับตามสิทธิที่มีอยู่” มุตะฟักกุล อะลัยฮิ ที่รายงานจากท่านอิบนุ อุมัร
ซ) การแต่งงาน จะทำให้ผู้ชายสามารถมุ่งความสนใจ ไปที่งานของเขาได้เป็นอย่างดี ทำให้มั่นใจว่า มีคนที่บ้านคอยจัดการเรื่องต่างๆ ของเขา คอยดูแลทรัพย์สินของเขา และเอาใจใส่ลูกๆ ของเขา เขาจึงสามารถทำงานของเขาได้อย่างเต็มที่ จากจุดนี้ทำให้ เปรียบเทียบได้อย่างชัดเจน ให้กับคนที่มีจิตใจจดจ่อ กับคนที่ถูกฉีกออกเป็น ชิ้นๆ ระหว่างการทำงานกับที่บ้านของเขา ระหว่างภารกิจนอกบ้านของเขา กับภารกิจในบ้านของเขา
ที่มา : Shaykh Yusuf al-Qaradawi