Xinjiang ที่ข้าพเจ้าได้ไปเห็นมา (ตอนที่ 1)
มณฑล Xinjiang เป็นมณฑลที่อยู่ทางภาคเหนือของประเทศจีน ด้วยระยะเวลาเพียง 7 วัน 6 คืนที่ได้ไปเห็นและอยู่ใน Xinjiang ตอนเหนือ ประกอบกับเดินทางไปในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อการท่องเที่ยวมากกว่าการทัศนศึกษา วิจัย แถมรัฐบาลจีนมีการควบคุมและกีดกันมิให้ชาวต่างชาติ โดยเฉพาะมุสลิม เข้าล้วงข้อมูลและตีแผ่ข้อมูลให้ชาวโลกได้รับรู้ข้อมูลที่ส่งผล
กระทบต่อนโยบายของรัฐบาลประเทศจีน ทำให้การเดินทางในครั้งนี้ ยากที่จะได้ข้อมูลเกี่ยวกับชาวอุยกูร์
ข้าพเจ้าจึงเขียนบทความนี้จากความรู้สึกและการสังเกตผิวเผินมากกว่าการลงไปหาข้อมูลแบบเจาะลึก
ความรู้สึกแรกที่ได้รับมา ถึงแม้เป็นการเดินทางไปกับบริษัททัวร์ ก็คือ เสียงบ่นจากเจ้าหน้าที่บริษัททัวร์ว่า กว่าจะได้วีซ่ามาเขาต้องไปสถานทูตจีน 4 ครั้ง เพื่อเข้าไปชี้แจงและนำเอกสารต่างๆไปให้ เมื่อเขาเห็นรายชื่อลูกทัวร์ที่จะเดินทางไปนั้นเป็นคณะจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เราก็ต้องยอมรับในความเป็นมืออาชีพของบริษัททัวร์ ทำให้ลูกทัวร์ในคร้ังนี้ได้วีซ่ากันทุกคน
ด่านแรกที่ไปถึง คือ ท่าอากาศยานนานาชาติคุณหมิงซึ่งเป็นประตู้เข้าเพื่อประทับตราหนังสือเดินทางเข้าประเทศจีน
ด่านที่สอง คือท่าอากาศยานอุรุมชี ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลซินเจียง
ทั้งสองสนามบินเราต้องเจอด่านและมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มข้นและละเอียดทุกขั้นตอน ทั้งสแกนกระเป๋า เสื้อผ้า ตรวจร่างกายอย่างละเอียด โดยเฉพาะมุสลีมะห์ที่ใส่ผ้าคลุมศีรษะ
เมื่อถึงสนามบินอุรุมชี มุสลีมะห์ที่คลุมศีรษะต้องเปิดผ้าคลุมให้เจ้าหน้าที่เห็นคอ ใบหน้าและศีรษะให้ชัดเจน ต้องชมเชยบรรดามุสลีมะห์ที่เป็นเพื่อร่วมทางในกรุ๊ปทัวร์ เพราะพวกเธอเหล่านั้นเป็นปัญญาชน มีวิชาชีพชั้นสูง มีประสบการณ์ในการทำงานและการท่องเที่ยวเดินทางโดยเฉพาะในการสื่อสาร เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ดี ประกอบกับคนเหล่านี้มีความเข้าใจอิสลาม มีจิตสำนึกต่ออิสลามสูง พวกเธอก็พยายามต่อรองกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของจีนที่สนามบินว่า ยินดีให้ตรวจและปฏิบัติตามทุกอย่าง แต่มีข้อแม้ว่า ขอให้เจ้าหน้าที่ผู้หญิงเป็นคนตรวจ และขอให้ตรวจในที่มิดชิด เจ้าหน้าที่จีน ก็ตกลงตามที่เราเสนอ แม้ต้องเสียเวลาบ้างพวกเราก็ต้องยอม ต้องต่อรองด้วยความยากลำบาก เพราะเรื่องภาษา เจ้าหน้าที่เขาใช้ภาษาจีน แต่พวกเรานั้นอังกฤษแบบงูๆปลาๆ
แต่อัลลอฮก็ทรงประทานความง่ายดายแก่การงานของคณะทัวร์ของเรา อัลฮัมดุลิลลาฮ
เมื่อถึงสนามบินอุรุมชี ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็ได้พบกับไกด์ท้องถิ่นเป็นมุสลิมจีน ชื่อเล่นว่า ตุ๊กตา มาจากเมืองซีอาน เธอพูดไทยได้ชัดคล่องแคล่ว แม้จะผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่เราก็เข้าใจเพราะ ภาษาไทยมีลักษณะพิเศษมีวรรณยุกต์ มีเสียงสูงต่ำ
จากการสังเกตและฟังการแนะนำตัวของตุ๊กตานั้น ทำให้ได้ความรู้ว่า การเป็นไกด์หรือมัคคุเทศมืออาชีพนั้นต้องเป็นคนที่มีทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ครบเครื่อง ตุ๊กตาเล่าให้พวกเราฟังจากการแนะนำตัวบนรถว่า เธอเรียนจบปริญญาตรีที่ประเทศจีน แล้วไปเรียนภาษาไทยที่เมืองคุณหมิง หลังจากนั้น รัฐบาลจีนส่งเธอไปฝึกการเป็นมัคคุเทศที่เมืองพัทยาและเชียงใหม่ ประเทศไทยของเรา ภายใต้โครงการความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างรัฐบาลไทยกับจีน
เมื่อเราเข้าประเทศจีนแล้ว จากประสบการณ์ที่ผ่านมา แม้ตามสนามบินจะไม่มีที่ละหมาด แต่เราก็สามารถละหมาดในสถานที่อื่นๆได้
แต่เมื่อเราเดินทางเข้ามณฑลซินเจียง ซึ่งเป็นเขตปกครองพิเศษ มีประชากรมุสลิมอุยกูร์ประมาณร้อยละ 50 พวกเราไม่สามารถละหมาดในที่สาธารณะได้ ต้องละหมาดบนรถยนต์ หรือเครื่องบิน หรือ แอบหมาดตามที่ต่างๆ โดยต้องระวังมิให้ประเจิดประเจ้อเกินไป
จากการสอบถามไกด์ตุ๊กตา เธอบอกว่า รัฐบาลจีนได้ออกกฏหมายห้ามละหมาดและประกอบศาสนกิจทางศาสนาในที่สาธารณะ รวมทั้งตามร้านอาหารและร้านค้าต่างๆ รวมทั้งควบคุมการปฏิบัติศาสนกิจ การเรียนศาสนาในมัสยิดต่างๆ
จึงทำให้ มีอุปสรรคในการประกอบศาสนกิจเป็นอย่างมาก ต้องหาวิธีการในการแก้ปัญหา ตามความเหมาะสม บางสภาวการณ์พวกเราต้องละหมาดบนรถยนต์และบนเครื่องบิน บางสภาวการณ์ต้องละหมาดในโรงแรม
โชคดี ในการเดินทางในครั้งนี้ เรามีคุณหมอซุลกิฟลี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลไม้แก่น อดีตนายกสมาคมจันทร์เสี้ยว คุณหมอโนรมาน มูดอ อดีตนายกสมาคมจันทร์เสี้ยว คุณหมอ Darn นายกสมาคมจันทร์เสี้ยว คนปัจจุบัน คุณหมอดือรามัน ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลบาเจาะ ทั้งสามแม้เป็นหมอแต่มีความรู้ศาสนา ท่านได้ให้ความรู้แก่ลูกทัวร์ในเรื่องวิธีการอาบน้ำละหมาดเมื่อเดินทาง และการละหมาดรวมและย่อ รวมทั้งหลักการอื่นๆ จึงทำให้เห็นถึงการผ่อนปรนและความเมตตาของอัลลอฮต่อผู้ที่เดินทาง เราเห็นถึงความใจกว้างและผ่อนปรนในอิสลาม พวกเราทั้งกลุ่มต่างยืนหยัด แม้จะยากลำบากเพียงใด เราต้องหาทางละหมาดให้ได้
ด้วยหิกมะห์และนิอ์มัตที่อัลลอฮทรงประทานมาให้บ่าวของพระองค์ ที่ซินเจียงในช่วงนี้นั้น อัลลอฮทรงให้เวลากลางคืนสั้น กลางวันยาว เวลาเข้าซุบฮี 5.30 น. เวลาเข้ามัฆริบ 20.40 น. จึงทำให้การละหมาดไม่ใช่อุปสรรคสำหรับการเดินทางของเรา เพียงแค่ว่า ต้องระวังมิให้โจ่งแจ้ง ประเจิดประเจ้อเกินไป พี่น้องมุสลีมะห์อาจจะลำบากหน่อย แต่ถ้าเราแต่งกายปกปิดเอารัตให้มิดชิด สะอาด ถ้าเรามีน้ำละหมาดเราก็สามารถละหมาดด้วยชุดนั้นได้เลย ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดตะละกงอีก ทำให้ทุกสภาวการณ์ไม่เป็นปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติศาสนกิจ
คณะของเราพยายามจะชี้ทางอ้อมว่า การมาประเทศจีนของมุสลิม โดยเฉพาะคณะทัวร์ของเรา ไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยต่อประเทศจีน
แต่เรามาเพื่อท่องเที่ยว ชมทิวทัศน์ที่สวยงาม หาสิ่งที่ดีงาม สร้างความสัมพันธ์ที่ดี นำรายได้มาให้รัฐบาลและประชาชนจีน
การคลุมศีรษะ การปฏิบัติศาสนกิจทางศาสนาของมุสลิมเป็นส่ิงที่ดีงาม ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย
เราเข้าใจเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของจีน ที่ต้องใช้มาตรการเข้มและละเอียดในการรักษาความปลอดภัยที่สนามบินต่างๆ เพราะ สถานการณ์โลกมันร้อนแรง ไม่ปลอดภัยในปัจจุบัน แต่เราอยากให้พวกเขาเข้าใจวิธีปฏิบัติที่ดีต่อมุสลิมด้วย อย่าเหมารวมว่า มุสลิม คือ ผู้ก่อการร้าย ศาสนิกของทุกศาสนามีทั้งคนดีและไม่ดี อย่าเลือกปฏิบัติ แล้วเราจะอยู่ร่วมกันบนโลกนี้อย่างสันติ