Skip to main content

 

"ทฤษฎีวิวัฒนาการเข้ากันได้หรือไม่กับอิสลาม?”

 

โดย อบู อามีนะฮ อิลยาส สำหรับ FaithinAllah.org

 

ในภาพอาจจะมี ท้องฟ้า, เมฆ, ม้า, สถานที่กลางแจ้ง และ ธรรมชาติ

 

คำถาม:

อิสลามยืนยันหรือปฏิเสธทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ของวิวัฒนาการ?

คำตอบ:

ด้วยพระนามของอัลลอฮ ผู้ทรงกรุณา ผู้ทรงเมตตา

อิสลามสนับสนุนการใช้เหตุผลและการสังเกตใคร่ครวญสรรพสิ่งเพื่อเป็นแนวทางในการสนับสนุนให้เกิดความผาสุขของมนุษย์และสรรพสิ่งในโลก ด้วยเหตุนั้น ทุกการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่ดีที่ช่วยให้บรรลุจุดมุ่งหมายดังกล่าวล้วนเป็นที่ยอมรับในอิสลาม

อย่างไรก็ตาม ด้วยคุณลักษณะพิเศษของทฤษฎีวิวัฒนาการซึ่งเป็นทฤษฎีที่ผู้คนขัดแย้งกันอย่างกว้างขวาง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่มุสลิมจะต้องแยกว่าสิ่งใดที่เราจะยอมรับได้ในเรื่องของศาสนา และสิ่งใดที่ยอมรับได้ในเรื่องของวิทยาศาสตร์

อิสลามสอนเราว่าอัลลอฮสร้างอาดัมและฮาวามาในรูปแบบของปาฏิหาริย์เหตุการณ์ และจากทั้งสองมนุษยชาติจึงถือกำเนิดขึ้น

อัลลอฮกล่าวว่า:

يَا أَيُّهَا النَّاسُ اتَّقُوا رَبَّكُمُ الَّذِي خَلَقَكُم مِّن نَّفْسٍ وَاحِدَةٍ وَخَلَقَ مِنْهَا زَوْجَهَا وَبَثَّ مِنْهُمَا رِجَالًا كَثِيرًا وَنِسَاءً

มนุษยชาติทั้งหลาย ! จงยำเกรงพระเจ้าของพวกเจ้าที่ได้บังเกิดพวกเจ้ามาจากชีวิตหนึ่ง และได้ทรงบังเกิดจากชีวิตนั้นซึ่งคู่ครองของเขา และได้ทรงให้แพร่สะพัดไปจากทั้งสองนั้น ซึ่งบรรดาชายและบรรดาหญิงอันมากมาย

สูเราะฮฺ อัน-นิสาอ์ (4:1)

นี่เป็นแก่นศรัทธาของมุสลิม ซึ่งเน้นย้ำความเป็นเอกภาพของมนุษยชาติและขจัดลัทธิคลั่งเชื้อชาติทุกรูปแบบ ความรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์มหัศจรรย์มาถึงมนุษย์ผ่านการเปิดเผยของพระผู้เป็นเจ้า(วะหยู)และไม่ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้น วิทยาศาสตร์ ไม่สามารถที่จะยืนยันหรือปฏิเสธเหตุการณ์นี้ได้

เชคอับดุลวะฮับ อัล ตูเรรี ได้เขียนไว้ว่า:

“เหตุการณ์การสร้างอาดัม(ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) อย่างไรก็ไม่สามารถเป็นเหตุการณ์ที่จะถูกยืนยันหรือปฏิเสธโดยวิทยาศาสตร์ได้ นั่นก็เพราะการสร้างอาดัมนั้นเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ครั้งเดียวและมีความเป็นพิเศษต่างกับเหตุการณ์อื่นๆ มันเป็นเรื่องเร้นลับและวิทยาศาสตร์ไม่มีพลังที่จะยืนยันหรือปฏิเสธมัน ในเรื่องของสิ่งเร้นลับ เราเชื่อก็เพราะอัลลอฮบอกเราเกี่ยวกับมัน เราจะพูดแบบเดียวกันเกี่ยวกับทุกเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่มีการบันทึกไว้ในอัลกุรอ่าน เหตุการณ์มหัศจรรย์ทั้งหลาย โดยธรรมชาติของมัน ไม่อยู่ในกรอบของกฎทางวิทยาศาสตร์ และการเกิดขึ้นของเหตุการณ์เหล่านี้ไม่สามารถถูกยืนยันหรือถูกปฏิเสธได้โดยวิทยาศาสตร์”

อ้างอิง: Islamtoday.net

ทฤษฎีวิวัฒนาการไม่ได้พิสูจน์หักล้างการมีของพระเจ้า ทฤษฎีวิวัฒนาการแค่นำเสนอแนวคิดการอธิบายความหลากหลายทางชีวภาพบนพื้นฐานของข้อมูล(ข้อสังเกต)ที่มีอยู่ในธรรมชาติ ชาลส์ ดาร์วิน ตั้งชื่อหนังสือของเขาว่า “On the Origin of Species” ไม่ใช่ “the origin of life” นั่นก็เพราะทฤษฎีของเขาไม่ได้มีเป้าหมายที่จะตัดสินว่าชีวิตเกิดขึ้นอย่างไรหรือถูกสร้างมาอย่างไร อันที่จริงแล้ว การมีอยู่จริงของกลไกการพัฒนาของสิ่งมีชีวิตที่เราเห็นตลอดเวลาเป็นหลักฐานเพิ่มเติมบ่งชี้ว่าพระผู้สร้างให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตตามกฎที่พระองค์ออกแบบ

มุสลิมมีสิทธิ์ที่จะเชื่อในทฤษฎีที่กล่าวว่าสิ่งมีชีวิตอาจเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปเมื่อผ่านไปหลายรุ่นหลายชั่วอายุ เรารู้ว่าอัลลอฮคือพระเจ้า(อัรรอบบ) ซึ่งหมายความว่าพระองค์นฤมิตและพัฒนาสิ่งที่พระองค์สร้างสู่ความสมบูรณ์(ตัรบียะฮ)

อัลลอฮกล่าวว่า:

لَتَرْكَبُنَّ طَبَقًا عَن طَبَقٍ

แน่นอนพวกเจ้าจะต้องเผชิญกับสภาพหนึ่งหลังจากอีกสภาพหนึ่ง

สูเราะฮฺ อัล-อินชิกอก(84:19)

อายะหนี้กล่าวถึงหลากสภาวะในชีวิตของมนุษย์ ที่ต้องผ่านประสบการณ์การเกิด วัยเด็ก วัยผู้ใหญ่ ความชราภาพ สุขภาพ ความป่วยไข้ ความมั่งคั่ง ความยากจน ความรู้ ความเขลา เป็นต้น แต่ก็ไม่มีเหตุผลทางเทววิทยาอันใดที่จะมายับยั้งความคิดว่าสิ่งมีชีวิตต่างๆจะเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะเดียวกันตามแต่ละรุ่น อันที่จริง อัลลอฮยังกล่าวอีกว่าพระองค์ได้สร้างหลายต่อหลายสิ่งที่เราไม่รู้

อัลลอฮกล่าวว่า

وَيَخْلُقُ مَا لَا تَعْلَمُونَ

และพระองค์ยังทรงสร้างสิ่งอื่นๆ ที่พวกเจ้าไม่รู้

สูเราะฮฺ อัน-นะห์ลฺ(16:8)

เรา(มนุษยชาติ)จะยังคงได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆไปเรื่อยๆเกี่ยวกับการสร้างและการค้นพบทั้งหลายแหล่นั้นไม่ได้ขัดแย้งแต่อย่างใดกับความศรัทธาของเราต่ออัลลอฮ

ต่างกับแนวคิดของครีเอชั่นนิสต์บางส่วน อิสลามไม่ได้ระบุให้เราต้องเชื่อในการ"คงสภาพเดิม"ของสิ่งมีชีวิต หรือความเชื่อที่ว่าสิ่งมีชีวิตในปัจจุบันเหมือนกับสิ่งมีชีวิตในอดีตในตอนเริ่มต้นของการสร้าง มันไม่มีความจำเป็นสำหรับมุสลิมที่จะต้องเห็นพ้องกันในเรื่องระยะเวลาที่แน่นอนของการสร้าง ต่างกับคริสเตียนบางกลุ่มที่จำต้องเชื่อว่าโลกมีอายุเพียง 6,000 ปี ระยะเวลาข้างต้นไม่มีการบันทึกทั้งในกุรอ่านและฮะดีษของท่านนบี(ซ.ล.)

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มุสลิมไม่สามารถยอมรับได้ คือการปฏิเสธความเป็นหนึ่งเดียวของมนุษยชาติผ่านอาดัมกับฮาวา นักทฤษฎีวิวัฒนาการบางกลุ่มเชื่อว่ามนุษย์วิวัฒน์มาจากหนึ่งหรือหลายสปีชี่ส์ที่ด้อยกว่า ความคิดนี้บวกกับการปฏิเสธโองการของพระผู้สร้าง มีผลกระทบเชิงลบทางปรัชญาที่อันตราย

ประการแรก มันนำไปสู่ลัทธิความคลั่งเผ่าพันธุ์และความเชื่อที่ว่าบางเผ่าพันธุ์ของมนุษย์นั้นวิวัฒน์ไปมากกว่าอีกเผ่าพันธุ์ เหมือนกับการกล่าวอ้างของกลุ่มสุดโต่งที่เรียกว่า eugenics movement อิสลามต่อต้านทุกรูปแบบของเผ่าพันธุ์นิยมและชูเกียรติศักดิ์ศรีของคนทุกคน

ประการที่สอง มันนำไปสู่ปรัชญา Social Darwinism ซึ่งส่งเสริมให้ชนชั้นที่ “แข็งแกร่ง” ในสังคมกำจัดชนชั้นที่ “อ่อนแอ” อิสลามสนับสนุนให้มีการดูแลและปกป้องผู้ที่อ่อนแอและผู้เปราะบางในสังคม

อัลลอฮกล่าวว่า:

وَيُطْعِمُونَ الطَّعَامَ عَلَىٰ حُبِّهِ مِسْكِينًا وَيَتِيمًا وَأَسِيرًا

และพวกเขาให้อาหารเนื่องด้วยความรักต่อพระองค์แก่คนยากจน เด็กกำพร้าและเชลยศึก

สูเราะฮฺ อัล-อินซาน(76:8)

อบูฮุรอยรอฮรายงานว่า: ศาสนทูตของอัลลอฮ(ซ.ล.) กล่าวว่า:

اللَّهُمَّ إِنِّي أُحَرِّجُ حَقَّ الضَّعِيفَيْنِ الْيَتِيمِ وَالْمَرْأَةِ

โอ้อัลลอฮ ฉันได้ออกคำสั่งสำทับเตือนเกี่ยวกับสิทธิของผู้เปราะบางสองกลุ่ม คือเด็กกำพร้าและสตรี

อ้างอิง: สุนัน อิบนุ มาญะฮ 3678, ระดับความน่าเชื่อถือ: ซอเฮี๊ยะฮ

ปรัชญา Social Darwinism และปรัชญาแบบปฏิเสธพระเจ้าที่เป็นผลที่น่ากลัวที่สุดหลังการเกิดทฤษฎีวิวัฒนาการ มากกว่าจะเป็นแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ ปรัชญาเหล่านี้ใช้วิทยาศาสตร์อย่างผิดๆโดยการตีความการคัดสรรตามธรรมชาติ(natural selection)ให้เป็นบัญญัติทางสังคมแทนที่จะเป็นการอธิบายทางทฤษฎีของประวัติศาสตร์ธรรมชาติ

เราควรจะเข้าใจว่าวิวัฒนาการเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ซึ่งจำกัดอยู่ที่การสังเกตผลการทดลองและข้อมูล มันไม่สามารถเข้ามาพิสูจน์หรือพิสูจน์หักล้างสิ่งเร้นลับที่ถูกเปิดเผยผ่านศาสนทูต(ทั้งหลาย) ด้วยข้อจำกัดของวิทยาศาสตร์ นักชีววิทยาไม่ได้เห็นพ้องกันทั้งหมดถึงรายละเอียดของตัวทฤษฎีและยังแข่งขันกันนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ หลักฐานต่างๆก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และภาพรวมของตัวทฤษฎีก็มีการแก้ไขตลอดเวลา ในแง่นี้ ทฤษฎีวิวัฒนาการจะยังคงอยู่ในฐานะ “ทฤษฎี” เสมอ ซึ่งเป็นไอเดียในการอธิบายข้อเท็จจริงที่สังเกตได้ มากกว่าจะถูกมองว่าเป็นข้อเท็จจริงโดยตัวของมันเอง นั่นก็เนื่องด้วยเรามีข้อจำกัดในการศีกษาและตีความบันทึกฟอสซิล ทฤษฎีวิวัฒนาการในลักษณะนี้หาได้ขัดแย้งกับอิสลามไม่ ตราบใดก็ตามที่เราหลีกเลี่ยงการตีความที่ผิดและปรัชญาต่างๆที่สืบมาจากมัน

เชคอับดุลวะฮับ อัล ตูเรรี ได้เขียนว่า:

"ประเด็นของวิวัฒนาการยังคงเป็นเรื่องของการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น ทฤษฎีวิวัฒนาการจะต้องคงอยู่หรือตกไปบนฐานของข้อผิดถูกทางวิทยาศาสตร์ นั่นหมายถึงหลักฐานทางกายภาพที่ยืนยันหรือขัดแย้งกับตัวทฤษฎี บทบาทของวิทยาศาสตร์จำกัดอยู่ที่การสังเกตและอธิบายรูปแบบของสิ่งถูกสร้างที่อัลลอฮได้จัดวางไว้ ถ้าหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นถึงรูปแบบของวิวัฒนาการของสปีชี่ส์ที่สามารถอธิบายได้โดยกฎการคัดสรรตามธรรมชาติ โดยตัวของมันเอง นี่ไม่ใช่การปฏิเสธศรัทธา มันจะเป็นการปฏิเสธศรัทธาก็ต่อเมื่อคนคนหนึ่งคิดว่าวิวัฒนาการเกิดขึ้นด้วยตัวมันเอง และวิวัฒนาการไม่ใช่การสร้างสรรค์ของอัลลอฮ มุสลิมที่ยอมรับทฤษฎีวิวัฒนาการและกฎการคัดสรรตามชาติว่าเป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่แข็งแรงต้องรู้ว่าทฤษฎีเป็นเพียงการอธิบายหนึ่งในหลายๆรูปแบบของการสร้างของพระผู้เป็นเจ้า"

โดยสรุป มุสลิมมีสิทธิ์และควรจะยอมรับความถูกต้องขององค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์รวมถึงทฤษฎีวิวัฒนาการด้วย แต่เราไม่สามารถที่จะยอมรับการตีความวิทยาศาสตร์ที่ขัดแย้งกับสัจธรรมทางศาสนาและจิตวิญญาณที่เราได้รับจากการเปิดเผยโองการของพระผู้เป็นเจ้า

ความสำเร็จมาจากอัลลอฮ และอัลลอฮรู้ดีที่สุด

-----------------------------------------------------------------------

อาฎิล ศิริพัธนะ แปล

หมายเหตุของผู้แปล* บทความนี้แปลจาก: https://abuaminaelias.com/is-the-theory-of-evolution-compa…/

การแปลบทความนี้มีเป้าหมายเพียงเพื่อนำเสนอแนวคิดที่มีผู้วิเคราะห์ไว้แล้วในเรื่องของวิวัฒนาการ เพื่อเปิดโลกทัศน์ทางวิธีคิดให้กับผู้ที่สนใจในประเด็นอันเป็นที่ถกเถียงนี้ หาใช่ความพยายามในการบอกว่าความจริงหรือสัจธรรมเป็นเช่นไร ด้วยปรัชญาของผู้แปลที่ว่า "วิทยาศาสตร์เป็นเพียงแค่การประมาณความจริง ส่วนสัจธรรมนั้นย่อมอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า"

ผู้แปลหวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความนี้จะช่วยให้หลายๆคนหลุดจากความขัดแย้งในเรื่องของวิวัฒนาการ และช่วยให้สังคมมุสลิมนั้นสามารถก้าวหน้าในเรื่องวิทยาศาสตร์ได้ทัดเทียมกับสังคมอื่นๆในโลกในทุกๆสาขาวิชา โดยไม่ต้องสูญเสียความศรัทธาอันมีค่าของเราไป