โดยมูบารัด สาและ
ครั้งเมื่อค่อนนานมาแล้ว เมื่อผมยังเด็กเล็กน้อยอยู่นั้น ผมรักและหวงแหนนาฬิกามาก เป็นเพราะว่านาฬิกาที่ผมถือสวมใส่อยู่ เป็นเรือนหนึ่งซึ่งได้จะการมอบให้ของพี่ชายสุดที่รักของผม ผมหวงแหนจนไม่ให้ผู้ใดมาหยิบยืมไปสวมใส่ต่อ
ผมจำได้แม่นว่า ครั้งนั้นเป็นเวลานมาซุบฮิที่สุเหร่าหนึ่งใกล้บ้าน ผมก็ไปนมาซตามปกติของผมเช่นเคย ทว่าผมผิดพลาดไปลืมทิ้งนาฬิกาไว้ตรงมุมอาบน้ำละหมาด ซึ่งผมได้ถอดตั้งไว้ตรงนั้น และเดินเฉยเมยไปนมาซอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อนึกขึ้นได้ว่า ข้อมือว่างเปล่าปราศจากนาฬิกา เอาผมแทบตกใจมันหล่นหายที่ใดกัน ผมก็ย้อนไปดูที่อาบน้ำนมาซอีกครั้ง ก็ไร้ร่องรอยว่าจะพบเจอแต่อย่างใด ผมเสียใจ และแอบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ด้วยความเป็นเด็กใครๆก็รักก็ห่วงของตนเป็นธรรมดา
ผมยืนสะอื้นตรงนั้นสักพัก ก็มีชายพิการขาคนหนึ่งไถ่รถเข็นใกล้เข้ามา จึงทักถามว่า เหตุใดจึงได้ร้องไห้เด็กหนู ผมก็ตอบไปอย่างซื่อๆว่า นาฬิกาผมหายครับ ชายพิการผู้นั้น จึงปลอบโยนผมด้วยความเอ็นดูอย่างอ่อนโยน
ซึ่งในคำพูดที่ชายพิการขาได้กล่าวมานั้น ทำให้ผมจดจำได้ขึ้นใจถึงทุกวันนี้คือ “หนุ่มน้อย อย่าได้เสียใจเพียงแค่นาฬิกาเรือนหนึ่งได้หายไปเลย ถึงอย่างไรหากอัลลอฮฺได้เมตตาเรา แน่นอนนาฬิกาเรือนใหม่คงมาทดแทนเรือนเก่าและมันอาจจะดีกว่าเก่าด้วยซ้ำ ตรงนี้หนุ่มน้อยก็พอจะเข้าใจอะไรได้แล้วละ การที่หนุ่มน้อยได้มานมาซ ณ สุเหร่าตรงต่อเวลา ก็ถือว่าเป็นบุญวาสนามากแค่ไหนแล้ว มันเทียบไม่ได้เลย เพียงแค่นาฬิกาเรือนหนึ่งได้หายสาบสูญไป
แต่หากหนุ่มน้อย ควรตระหนักถึงอีหม่ามของเราให้มากนัก เพราะอะไรนะหรือ ก็เช่นว่า หากอัลลอฮฺทรงประสงค์ให้อีหม่ามของเรานั้นได้หายไปจากตัวเรา และเป็นผู้หลงทางไปตลอดชีวิต หนุ่มน้อยว่ามันจะเป็นเช่นไร ไม่ว่าเราจะว่ายน้ำข้ามหาสมุทรเพื่อเอาอีหม่ามของเรากลับมา แต่แล้วก็ไร้ประโยชน์เมื่อเราได้กลับเป็นผู้ที่หัวใจกระด้างดำไปแล้ว”
ชายพิการพูดด้วยใจที่เต็มเปี่ยมบริสุทธิ์ จนทำให้ผมหยุดสะอื้นไป ทุกวันนี้ชายพิการขาคนนั้นก็ยังอยู่ ณ สุเหร่าข้างบ้านผม และผมก็เจอเขาตลอดเมื่อได้ไปนมาซ มันทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายในวันนั้น จากสิ่งที่ดุนยาให้แก่เรา วันหนึ่งเราไม่อาจเก็บมันไว้ครอบครองได้เลย หากแต่ใจที่มุ่งศรัทธาต่อศาสนาอย่างแน่วแน่ต่างหาก ที่จะพาเราไปยังโลกหน้าที่พระเจ้าได้พึงรอเราอยู่