Skip to main content

 

น่ายินดีและเรื่องน่าเศร้าจากก้าวเล็กๆ ของตูน

 

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป

 

เริ่มที่ความน่ายินดี คือก็ทึ่งน่ะที่คนคนนึงลุกขึ้นมาทำอะไรเพื่อคนอื่น ในแบบที่เอาร่างกายมาเข้าแลกแบบนี้ เราคงไม่ขัดเรื่องบริจาค บริจาคเพื่อคนอื่น ทำเพื่อคนอื่นยังไงก็ดี

แต่ ถึงแม้ชื่อของ "ตูน อาทิวราห์ คงมาลัย" จะถูกบันทึกเป็น 1 บทของประวัติศาสตร์ไทย ในฐานะของวีรบุรุษที่อุทิศ แรงกาย และแรงใจ ระดมเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนคนไทย

มันก็อดเศร้าไม่ได้ เศร้าที่ว่า ข้อ1 คือ สุดท้ายปัญหาของมันไม่ได้ถูกแก้อย่างแท้จริง เพราะยังไงฝ่ายบริหารที่ดูเหมือนก็ไม่ได้เห็นความสลักสำคัญอะไรอยู่เเล้วแต่ต้น ดูจากงบที่ลงไป เช่นกระทรวงกลาโหม เป็นต้น เงิน 700 ล้านบาทที่ต้องเอาร่างกาย ชีวิตเข้าแลก มันคือเศษเงินในบางกระทรวงที่เอาไปถลุงเล่นเท่านั้นเอง (อ่านประกอบ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1931298757192652&set=a.142140323...)

แน่นอนว่ามันมีกระบวนการที่เราจะสามารถจัดสรรงบประมาณได้ แต่มันไม่เคยถูกเอามาพูดอย่างจริงจัง เพื่อหาวิธีแก้ความเฮงซวยอันนี้ เพราะสุดท้ายเราต่างเฮโล่ ดีใจล้มกระดานแล้วบอกว่ามันคือสิ่งที่ดี และสิ่งที่เรากำลังพูดกันคือ งบประมาณในการสนับสนุนระบบสาธารณสุข ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องของใครคนหนึ่ง แต่คือระบบสวัสดิการที่รัฐซึ่งได้งเงินจากกระเป๋าของประชาชน ควรจัดสรร

เศร้าที่2 คือ เราเห็นความน่าชื่นตาบาน เราเห็นการประโคมความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของชาวบ้าน ต้อนรับพี่ตูนอย่างอุ่นหนาฝา(คลั่ง) ซึ่งก็ดี ถือเป็นกำลังใจที่ดี แต่เหนือจากการขอถ่ายรูป เพื่อเอาไปอวดต่อว่าได้เจอพี่ตูนเเล้ว คือการตระหนักว่า เราอยู่ในระบบที่การจัดสรรภาษีซึ่งได้จากพวกเราทุกคนมัน เฮงซวย ซึ่งถ้าการบริจาคและไปรอรับอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้ตระหนักในจุดนี้สุดท้ายมันก็วกกลับไปที่ ข้อที่ 1 ที่เราบอก คือโครงสร้างมันไม่ได้แก้ เพราะคนส่วนใหญ่ยังไม่รู้สึกว่าโครงสร้างมันแย่ ซึ่งแน่นอนว่าเราคงหวังว่าจะมีคนทั้ง 100% มาเข้าใจเรื่องนี้คงไม่ได้ แต่เรากำลังหมายถึงคนที่อย่างน้อยควรจะเข้าใจ เช่น คนชั้นกลาง ชั้นนำในพื้นที่ คนหนุ่มสาวในมหาวิทยาลัย เป็นต้น

เศร้าที่ 3 พอไม่รู้ว่าแย่ ซึ่งมีได้ทั้งที่ไม่รู้ ในแบบไม่เคยรู้มาก่อน กับรู้ แต่ไม่รู้จะแก้ยังไง เลยจบที่แบบรับบริจาค แก้เฉพาะหน้ากันไป และแกล้งเป็นไม่รู้ แบบหลังนี้น่ากลัว เพราะเราก็จะแห่ทำอะไรแบบขอไปทีแบบนี้ ไม่เกิดการกดดันต่อฝ่ายบริหารบ้านเมืองอย่างจริงจัง และไม่นำมาสู่ความตั้งใจที่จะเข้าใจมันจริงๆ เสียที ทั้งๆ ที่โอกาสที่พี่ตูนกำลังวิ่งนี้ น่าจะเป็นห้วงเวลาที่ดีที่สุดที่เราจะมาทำความเข้าใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง อันนี้ก็ต้องขอบคุณพี่ตูนที่ช่วยยกประเด็นนี้มาให้ได้คุยกัน

เศร้าที่ 4 เอาแค่ช่วงที่พี่ตูนวิ่งในพื้นที่สามจังหวัด แม้มุมหนึ่งมันช่วยเสริมภาพ ฉายแสงในพื้นที่ว่าไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด อย่างที่เห็นในทีวี ตามสื่อ แต่อย่าลืมว่าเหตุการณ์มันยังอยู่ มันไม่ได้หายไปไหน และยังต้องการการแก้ไขที่จริงจังด้วยเช่นเดียวกับข้อที่ 1(คือแก้โครงสร้าง) หากสื่อจะแห่ตีข่าวแค่เพียงความฉาบฉวย สีชมพูแบบครั้งคราวแบบนี้ สุดท้ายมันจะต่างอะไรกับอีหรอบเดิมๆ ที่เราทำกันมาในระบบบ้านเมืองเรา ชาวบ้านในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ยังต้องเผชิญหน้ากับความจริงชุดนั้นต่อไป ในที่นี่เราไม่ได้บอกว่าการฉายภาพความงามในพื้นที่เป็นเรื่องไม่ดี เรื่องดีคือดีอย่างที่บอก แต่ต้องยอมรับด้วยว่าเรื่องที่มันไม่สวยงามมันก็มีอยู่ และมันต้องการการแก้ไขอย่างเข้าใจด้วย อย่าลืม

และน่าเศร้าสุดท้าย เมื่อเกิดปัญหาใหม่ขึ้นมา จากความเคยชินกับความเป็นฮีโร่แบบนี้ เราก็จะเรียกหาฮีโร่ที่ลงมาช่วย แล้วทุกคนก็เหมือนจะพร้อมใจกันทำในฐานะที่ว่าช่วยกัน น้ำหนึ่งใจเดียว แล้วยกย่องยกยอกันไป แล้วปล่อยให้คนที่นั่งกินภาษีจากเงินในกระเป๋าเราอยู่สบายไม่ต้องแก้ปัญหาอะไร (ทั้งๆ ที่หน้าที่หลักคือการแก้ปัญหาเหล่านี้และหน้าที่เราควรกดดันคนพวกนี้ในฐานะที่เราจ่ายภาษีให้) มิหน่ำซ้ำยังได้หน้าจากการออกมาช่วยปกป้องฮีโร่ของประชาชน และสังคมเราก็พร้อมยินดีที่จะมองไม่เห็นรากเหง้าของปัญหานั้น ทั้งแบบไม่รู้และปฏิเสธที่จะรบรู้

สุดท้าย ดีคือดี เเต่เรื่องเลวๆ ก็ต้องเอามาพูดให้เข้าใจด้วย อย่าซุกเอาไว้โดยวาทกรรม พูดไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน เราเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะเปลี่ยนเมื่อไหร่ยังไง แต่เราคิดว่าอย่างน้อยถ้าได้ลองหันกลับมาทำความเข้าใจระบบ เฮงซวยไว้บ้าง ต่อไปเมื่อเกิดปัญหา เราจะได้หาคนที่ต้องรับผิดชอบในการแก้ไขที่ถูกต้อง ไม่ใช่การให้ยาประคองอาการ แบบที่เรากำลังทำให้ประเทศเราอยู่