มุสลิมจีนกับการพัฒนาศักยภาพฮาลาลไทย
โดย รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน
เมื่อคืนนี้ผมนอนอยู่ที่โรงแรม Harmonize เชียงใหม่ เป็นโรงแรมฮาลาล เจ้าของคือคุณกวินธร วงศ์ลือเกียรติ มุสลิมไทยเชื้อสายจีนประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงใหม่ ตื่นมาตอนเช้าเจอชาวจีนมุสลิมเต็มโรงแรมไปหมด คนจีนเหล่านี้มาจากประเทศจีนแต่งกายด้วยชุดวัฒนธรรมอิสลาม หญิงคลุมหิญาบ ชายสวมหมวกขาว ทุกคนแต่งตัวเรียบร้อย หรูหราดูดี พูดจีนและอังกฤษ คนจีนเหล่านี้มีรากอารยธรรมสองสายคือจีนและอิสลาม รากความเป็นจีนทำให้คนชาตินี้พัฒนาประเทศสู่ความเป็นชาติพัฒนารวดเร็วที่สุดในโลก รากความเป็นมุสลิมทำให้คนกลุ่มนี้ดูสุภาพ เรียบร้อยจนน่าสังเกตุ
เห็นคนจีนแล้วก็ทึ่ง 40 ปีมาแล้วคนจีนจากประเทศจีนมีรายได้เฉลี่ยต่อหัว 200 USD วันนี้เพิ่มเป็น 7,000 USD เพิ่มขึ้น 35 เท่าใน 40 ปี ไม่มีคนกลุ่มไหนในโลกมีการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วกว่านี้อีกแล้ว กรณีคนจีนมุสลิม คนกลุ่มนี้เป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศจีนมีจำนวนแค่ 5% ของประชากรเท่านั้น
มุสลิมในโลก ค.ศ.2017 มี 1,900 ล้านคนในโลกคิดเป็นหนึ่งในสี่ของประชากรโลกซึ่งมี 7,400 ล้านคน มุสลิมเหล่านี้ยึดถือนิกายซุนหนี่ 90% ชีอะฮฺ 10% มุสลิมทั้งหมด เป็นคนเชื้อสายเอเชียใต้ 31% อาหรับ 17% เปอร์เซีย-เติร์ก 15% มลายู-อินโด 14% คอเคเซียน-รัสเซีย 6% จีน 3.5% (67 ล้านคน) เชื้อชาติอื่น 4% ในประเทศจีนมีประชากร 1,300 ล้านคน เป็นมุสลิม 5% (65 ล้านคน) ขณะที่มุสลิมไทยมี 5.4 ล้านคน เป็นมุสลิมเชื้อสายจีนแค่ 1% สรุปว่าทั้งในโลก ทั้งในประเทศจีนและประเทศไทยมีคนจีนที่เป็นมุสลิมค่อนข้างน้อย แต่ถึงน้อยแต่คนกลุ่มนี้มีศักยภาพสูงอย่างน่าทึ่ง ดูจากประวัติศาสตร์ก็คงเห็น
ย้อนหลังไป 600 ปีในอดีต ประเทศจีนเวลานั้นมีประชากร 110 ล้านคน จำนวนนี้ร้อยละ 5.5 หรือ 6 ล้านคนเป็นมุสลิม ราชวงศ์หยวนของมองโกลซึ่งส่งเสริมอิสลามล่มสลายลงใน ค.ศ.1368 หลังจากนั้นราชวงศ์หมิงซึ่งเป็นจีนฮั่นขึ้นมาปกครอง มุสลิมจีนในมณฑลหนิงเซีย ซิงไห่ กานซู ยูนนาน ถูกกวาดล้าง หม่าเหอ หรือมูฮำมัด ญับบาส เหอ เกิดใน ค.ศ.1370 ขณะอายุ 11 ขวบถูกจับจากเมืองคุนหยาง รัฐยูนนาน ไปเป็นขันทีรับใช้เจ้าชายซูตี่ ที่เมืองต้าถูหรือปักกิ่ง คำว่าขันทีหากไม่ได้ทำงานรับใช้ในวังชั้นในย่อมไม่ถูกตอน หม่าเหอจึงเป็นขันทีที่เป็นทหารแต่งงานมีครอบครัว ภายหลังเจ้าชายซูตี่ขึ้นครองบัลลังค์เป็นจักรพรรดิพระนามว่าหยงลี่ฮ่องเต้ หม่าเหอที่แสดงฝีมือจัดจ้านค้ำราชบัลลังค์ได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพเรือ เปลี่ยนชื่อตามตำแหน่งว่าเจิ้งเหอ
ช่วง ค.ศ.1404-1433 เจิ้งเหอนำกองเรือจีนอันเกรียงไกรอวดธงทั่วโลกถึง 7 เที่ยว มีเรือ 317 ลำ ลูกเรือ 27,870 คน เรือธงของเจิ้งเหอมีขนาด 57 ม x 137 ม ใหญ่กว่าเรือธงของอังกฤษยุคเดียวกันถึงสองเท่านั่นคือ 37x74 ม. จีนยุคนั้นจึงยิ่งใหญ่และในความยิ่งใหญ่นั้น จีนมุสลิมแม้เป็นชนกลุ่มน้อยกลับก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้าได้อย่างน่าทึ่ง มุสลิมจีนในเมืองไทยย่อมสามารถทำได้ไม่ต่างกัน
เมื่อห้าปีที่แล้ว ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาเปิดสำนักงานที่เชียงใหม่ สำนักงานนี้ใช้เป็นฐานในการพัฒนางานด้านไอทีและอินเตอร์เน็ต ตั้งชื่อสำนักงานว่า Habidah ย่อมาจาก Halal Big Data House เจ้าหน้าที่ศูนย์ภายใต้การนำของ ดร.ภราดร สุรีย์พงศ์ ซึ่งเป็นจีนมุสลิม ทั้งมีพนักงานส่วนใหญ่เชื้อสายจีนร่วมกันพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิตอลขึ้นมาหลายชิ้น พัฒนางานด้านฮาลาลบล็อกเชนขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก กระทั่งอาจถูกใช้เป็นแนวทางพัฒนาระบบฮาลาลยุคใหม่ในโลก มุสลิมไทยเชื้อสายจีนเหล่านี้แม้มีจำนวนน้อยแต่มีศักยภาพในการทำงานพัฒนาฮาลาลร่วมกับมุสลิมเชื้อสายอื่นที่มีจำนวนมากกว่า ผมนำเรื่องนี้ไปเล่าให้มุสลิมเชื้อสายจีนที่มัสยิดบ้านฮ่อที่เชียงใหม่ได้รับรู้ ได้ภาคภูมิใจกับลูกหลานของเขาที่เป็นมุสลิมรุ่นใหม่ไฟแรงที่กำลังทำงานเพื่อเปลี่ยนโลกยุคเทคโนโลยีในวันนี้