Skip to main content

กองทัพเมียนมาแถลงยอมรับเป็นครั้งแรกว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารชาวโรฮิงญา 10 คนเมื่อปีก่อนจริง แอมเนสตี้เรียกร้องสืบสวนอย่างจริงจังต่อเหตุรุนแรงอื่นๆ

 

กองทัพเมียนมาออกมายอมรับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารชาวโรฮิงญาในหมู่บ้านอินดิน รัฐยะไข่ เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2560 ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีชาวโรฮิงญาเสียชีวิต 10 คน ก่อนจะฝังศพพวกเขาไว้บริเวณดังกล่าว โดยอ้างว่าเป็นการช่วยชาวบ้านชาวพุทธแก้แค้นกลุ่มติดอาวุธ

 

การแถลงผ่านเฟซบุ๊กในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่กองทัพเมียนมาออกมายอมรับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารชาวโรฮิงญาจริง แม้จะมีหลักฐานมากมายก่อนหน้านี้ ซึ่งรวมถึงรายงานของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ที่พบว่าการสังหารชาวโรฮิงญาในเมียนมาอาจเข้าข่ายอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ โดยทางการเมียนมาปฏิเสธข้อหาดังกล่าวมาโดยตลอด

 

เจมส์ โกเมซ ผู้อำนวยการสำนักงานเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “ข้อมูลนี้ถือได้ว่าเป็นเพียงแค่ยอดเล็กๆ ของภูเขาน้ำแข็ง ซึ่งจำเป็นต้องมีการสอบสวนอย่างเป็นอิสระและจริงจังต่อเหตุรุนแรงอื่นๆ ในปฏิบัติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนี้ อันเป็นเหตุให้ชาวโรฮิงญากว่า 655,000 คนต้องลี้ภัยออกจากรัฐยะไข่นับแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้วเป็นต้นมา"

 

น่าใจหายที่ทหารพยายามสร้างความชอบธรรมให้กับการสังหารนอกกฎหมายเหล่านี้ โดยอ้างว่าจำเป็นต้องทำเพื่อความมั่นคงและไม่รู้ว่าจะจัดการกับบุคคลเหล่านี้อย่างไร พฤติกรรมเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าการดูหมิ่นเหยียดหยามชีวิตมนุษย์ยังคงเป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับได้ของกองทัพเจมส์ โกเมซ กล่าว

 

แอมเนสตี้และหน่วยงานอื่นๆ ได้เก็บข้อมูลหลักฐานมากมายที่แสดงให้เห็นว่านอกเหนือจากหมู่บ้านอินดินที่กองทัพเมียนมายอมรับว่าก่อเหตุจริงแล้ว ยังมีหมู่บ้านต่างๆ ทั่วภาคเหนือของรัฐยะไข่ที่กองทัพสังหาร ข่มขืน และเผาหมู่บ้านชาวโรฮิงญามากมาย ซึ่งยังไม่มีการแสดงความรับผิดชอบแต่อย่างใด

 

ขณะที่คณะศึกษาข้อเท็จจริงของสหประชาชาติ (UN Fact-Finding Mission) และผู้สังเกตการณ์อิสระอื่นๆ ยังคงไม่ได้รับอนุญาตให้สามารถเข้าไปลงพื้นที่เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติมในรัฐยะไข่ได้

ที่มาข่าวจาก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย)