Skip to main content

 

อิสลามเข้าสู่จีนได้อย่างไร

 

บรรจง บินกาซัน

 

 

ก่อนหน้าสมัยอิสลาม สองมหาอำนาจของโลก คือ อาณาจักรโรมันไบแซนตินและอาณาจักรเปอร์เซียทำสงครามแย่งชิงดินแดนที่ชาวอาหรับเรียกว่า “อัชชาม” ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของคาบสมุทรอาหรับ ในสมัยนั้น อัชชามกินพื้นที่ซีเรีย จอร์แดน ปาเลสไตน์และเลบานอน

อัชชามเป็นพื้นที่สำคัญทางยุทธศาสตร์และเป็นชุมทางการค้าสำคัญบนเส้นทางสายไหม สินค้าจากจีนถูกขนส่งมายังที่นี่และถูกกระจายไปยังยุโรป อาฟริกาและแผ่นดินอาหรับ ชาวอาหรับรู้จักผ้าไหมและเครื่องปั้นดินเผาจากจีนก่อนหน้าอิสลามเพราะชาวอาหรับเดินทางไปค้าขายที่นั่น นบีมุฮัมมัดเคยติดตามลุงของท่านไปค้าขายที่อัชชามตั้งแต่อายุ 12 ขวบ ท่านจึงมีประสบการณ์ทางการค้าจากการเห็นสินค้า การเจรจาต่อรอง รู้จักคนต่างชาติและรู้เรื่องความสัมพันธ์ของผู้คนจากชาติต่างๆ

ที่กล่าวมาคือเหตุผลว่าทำไมสองมหาอาณาจักรใหญ่ของโลกในเวลานั้นจึงทำสงครามแย่งชิงแผ่นดินอัชชามไว้เป็นของตัวเอง

เมื่อนบีมุฮัมมัดเป็นผู้ปกครองเมืองมะดีนะฮฺ ท่านได้ส่งสาสน์เชิญชวนเฮราคลีอุสตัวแทนที่จักรพรรดิแห่งอาณาจักรไบแซนตินส่งมาเป็นผู้ปกครองอัชชามและคุสโรจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเปอร์เซียเข้ารับอิสลาม เฮราคลีอุสตอบรับสาสน์อย่างมีไมตรี แต่คุสโรฉีกสาสน์ของนบีมุฮัมมัดทิ้ง นบีมุฮัมมัดจึงกล่าวว่าไม่ช้าอาณาจักรเปอร์เซียจะถูกฉีก

หลังสมัยนบีมุฮัมมัดได้สิบกว่าปี อัชชามและอาณาจักรเปอร์เซียตกเป็นของชาวอาหรับมุสลิมในสมัยของเคาะลีฟะฮฺอุมัรฺ แผ่นดินอิสลามจึงขยายกว้างออกไป

เมื่ออุษมานขึ้นมาเป็นเคาะลีฟะฮฺต่อจากอุมัรฺ อุษมานได้ส่งคณะทูตที่นำโดยซะด์ บินอะบีวักกอศ สาวกคนหนึ่งของนบีมุฮัมมัดไปยังจีนเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีและได้รับการต้อนรับอย่างดีจากจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถัง หลังจากนั้น มัสญิดแห่งแรกในจีนได้ถูกสร้างขึ้นที่มณฑลกวางตุ้งเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงท่านนบีมุฮัมมัด

ความสัมพันธ์ระหว่างชาวมุสลิมกับจีนเริ่มมีมากขึ้นโดยทางการค้าซึ่งมีพ่อค้าชาวอาหรับและชาวเปอร์เซียเข้าไปค้าขายในแผ่นดินจีน และบางครั้งก็โดยทางทหารเมื่อกองทัพมุสลิมของราชวงศ์อับบาซีย์ถูกส่งเข้าไปช่วยเหลือในการปราบกลุ่มก่อความไม่สงบตามการร้องขอของจักรพรรดิจีนในบางสมัย

การค้าขายที่ขยายตัวออกไปทำให้มีประชาคมมุสลิมหลายแห่งเกิดขึ้นในจีน ดังจะเห็นได้จากมัสยิดเก่าแก่นับพันปีในเมืองต่างๆในหลายพื้นที่โดยเฉพาะในมณฑลซีอานและมัสยิดเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นตามสถาปัตยกรรมจีน นี่เป็นสิ่งที่แสดงว่าอิสลามยอมรับวัฒนธรรมอื่นๆ ชาวจีนที่นับถือศาสนาอิสลามถูกเรียกว่าหุย

ในสมัยราชวงศ์หมิง ชาวจีนที่นับถืออิสลามบางคน เช่น เจิ้งเหอ ได้รับตำแหน่งเป็นแม่ทัพเรือที่นำกองเรือขนาดใหญ่ของจีนออกเดินทางสำรวจทางทะเลเป็นเวลากว่า 25 ปีและมีบันทึกว่าเขาได้เดินทางไปทำฮัจญ์ที่เมืองมักก๊ะฮฺด้วย

เมื่อจีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสาธารณะรัฐโดยซุนยัตเซน มีนักศึกษาชาวจีนมุสลิมหลายสิบคนได้เดินทางไปศึกษาศาสนาอิสลามที่ในประเทศอียิปต์ หลังจากจบการศึกษาแล้ว นักศึกษาเหล่านี้ได้กลับมาตั้งสถาบันและองค์กรในเมืองต่างๆเพื่อเผยแผ่สั่งสอนอิสลามแก่ชาวจีนในท้องถิ่น

แต่หลังจากจีนถูกประกาศเป็นสาธารณะรัฐประชาชนจีนที่มีการปกครองแบบคอมมิวนิสต์โดยเหมาเจ๋อตุง ศาสนาถูกมองว่าเป็นเหมือนยาเสพติดที่มอมเมาประชาชนไม่ว่าจะศาสนาใดก็ตาม ดังนั้น สิ่งใดก็ตามที่ถูกถือว่าเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา เช่น โบสถ์ วัดและมัสญิดจึงถูกสั่งทำลายหรือถูกสั่งปิดหรือไม่ก็ถูกนำไปใช้เพื่อสาธารณะประโยชน์ พิธีกรรมต่างๆทางศาสนาถูกสั่งห้าม ผู้หญิงจีนมุสลิมที่เคยคลุมฮิญาบต้องเปลี่ยนมาใช้ตาข่ายคลุมผมแทนเพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นเป้าทำลาย

อย่างไรก็ตาม ลัทธิคอมมิวนิสต์ไม่สามารถทำลายพิธีกรรมทางศาสนาอิสลามได้ ในทางตรงข้าม ลัทธิคอมมิวนิสต์ต่างหากที่ไปไม่รอด ในสมัยของเติ้งเสี่ยวผิง รัฐบาลจีนจึงผ่อนคลายนโยบายทางเศรษฐกิจและสังคม ดังนั้น ชาวจีนที่นับถือศาสนาอิสลามจึงได้มีโอกาสไปทำพิธีฮัจญ์ ได้ละหมาดและเฉลิมฉลองเทศกาลทางศาสนาในมัสญิดได้อย่างเสรี มัสญิดเก่าแก่หลายแห่งในจีนได้กลายเป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ทำรายได้และสร้างเกียรติภูมิให้แก่จีน

 

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และ สถานที่กลางแจ้ง