Skip to main content

 

 

#บันทึกแห่งความสุข

 

เมื่อความสุขที่จะบันทึกในครั้งนี้ ไม่ได้สะกดด้วยคำว่า ค-ว-า-ม-ส-ุ-ข แต่มันกลับถูกสะกดด้วยคำว่า รักและผูกพันธ์จนสุขล้น ที่ฉันได้มาเจอในค่ายเด็กแห่งบ้านจือแรง ต.ตะมะยูง อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส ในครั้งนี้ ซึ่งเรื่องของความสุขที่จะบันทึกมีอยู่ว่า.....

การเดินทางของค่ายเด็ก ของมูลนิธินูซันตาราได้ดำเนินมาเป็นสัปดาห์ที่สาม สัปดาห์ที่ความล้ามาทักทายนิดหน่อย แต่ฉันก็ยังปล่อยให้ความบ้าพลังและหัวใจที่มีหวังยังเดินทางต่อไปเพื่อร่วมค่ายครั้งนี้ ความพร้อมของกิจกรรมคิดว่ามีมากขึ้น เพราะผ่านมาสองรอบสำคัญแล้ว แต่เอาเข้าจริงก็ตื่นเต้นทุกครั้งที่จะออกเดินทาง

การออกเดินทางครั้งนี้ฉันต้องตระเตรียมตัวเองและสหาย ที่คุ้นเคยให้ออกเดินทางว่องไวกว่าทุกครั้ง เพราะหนทางแสนไกลกว่าร้อยกิโล เป้าหมายที่เราจะไปอยู่ที่อำเภอศรีสาคร ชื่ออำเภอที่คุ้นหู แต่ฉันไม่รู้จักมันเลยก็ว่าได้ ซึ่งครั้งนี้ผู้ร่วมเดินทางถือว่าเป็นน้องใหม่ในการทำค่ายด้วยกัน แต่ก็คุ้นหน้าสำหรับฉัน ทั้งเดะมีน้องนีโม่ เดะหญิง ผู้มีเสียงหัวเราะสะกดใจ เดะซูไก และเดะใหม่ จากสังคมสงเคราะห์ปี 3 และอีกคนที่ยังเป็นสหายเหนียวแน่นคือ นีโม่ ที่ยังคงไปด้วยกันเสมอ

พวกเราออกเดินทางจาก ม.อ. ปัตตานีตั้งแต่เจ็ดโมงสิบห้า มุ่งหน้าปลายทางที่บ้ายจือแรง ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาเราไปบ้านจือแร แต่ครั้งนี้ชื่อหมู่บ้านมี งอ งู เพิ่มมา คิดว่าคงไม่ไกลกันมาก แต่ไหงได้ จับรถเกือบสองชั่วโมงกว่าที่จะถึง คงเป็นเพราะครั้งแรกเวลาเราไปที่ที่ไม่คุ้น ต้นไม้ ใบหญ้าก็จะทักทายเราตลอดทาง เราเลยช้ากว่าที่คิดไว้ เกือบสิบโมงที่เราไปถึงพื้นที่ เราทุกคนไม่รอช้า เพราะรู้ว่าเวลาไม่เคยคอยใคร รีบเร่งลงไปและหายใจเข้า-ออก พร้อมทำกิจกรรมทันที ถามตัวเองว่า อาร์ยูเรดี้?? คงตอบได้แค่คำว่า เยสสสส พร้อมมากกกก

กิจกรรมแรกเริ่มต้นขึ้นจากการแนะนำ "แขกผู้มาเยือนอย่างเรา" พร้อมกับให้เด็กน้อยที่เป็น "เจ้าบ้าน" ได้ทักทายเซไฮ พร้อมกล่าวซาลามัตปากีกับพี่พี่ด้วย หลังจากนั้นเราเริ่มทำกิจกรรม "กฎค่ายของฉัน" ที่ให้เด็กทุกคนในค่ายร่วมกันออกกฎ ผลที่พบจากกฎท่ีออกน่าสนใจไม่น้อย เช่น การห้ามกินน้ำกระท่อม ห้ามรังแกผู้หญิง และห้ามทำอีกหลายอย่าง แต่สะดุดหูที่สุดตอนเด็กได้บอกเล่ากฎคือ ห้ามพกปืนมาโรงเรียน  สิ่งนี้มันสะท้อนความรุนแรงที่ฝังใจกับเด็กรุ่นหลังอย่างมาก แต่เรายังด่วนสรุปที่มาของความคิดแบบไวไม่ได้ว่าสาเหตุหลักของความคิดมาจากสิ่งใด แต่เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่อย่างเราที่ต้องทำให้สิ่งเหล่านี้คลายออกจากใจและสมองของเด็กให้ได้

ถัดจากนั้นเราได้วาดภาพฝัน "โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร???" กันต่ออย่างสนุก ยิ่งทำกิจกรรมวาดภาพมาสามพื้นที่ ฉันยิ่งได้รับคำตอบที่ชัดว่าเด็กน้อยเกิดมาพร้อมจินตนาการ และงานศิลปะอย่างแท้จริง เขาจะมีความสุขและสมาธิกับการทำงานเหล่านี้เสมอ และฉันเองก็สุขที่ได้เฝ้ามองทุกครั้ง ความฝันที่พบมักคล้ายกัน เช่น โตขึ้นหนูอยากเป็นครู เป็นหมอ พยาบาล โต๊ะอิหม่าม แต่ที่นี่ฉันได้พบอาชีพที่ยังไม่ค่อยได้ยินที่อื่นเช่น อยากเป็นคนขับรถบรรทุก คนขับรถแม็คโคร และความฝันที่ฟังแล้วสะอึกคือ "โตขึ้นอยากเป็นนักเลง" และ "เป็นเด็กแว้น" ฉันรีบหาแนวคิดทฤษฎีมาอธิบายเบื้องหลังความคิดของเด็กเหล่านี้ และสมมติฐานหนึ่งคือ เขาอาจจะเป็นเด็กที่เคยถูกกระทำความรุนแรงบางอย่างที่ฝังใจและต้องการปกป้องตนเองและทำให้ตัวเองแข็งแรงที่เป็นเกราะป้องกันเขา และอีกมุมหนึ่งเขาอาจเคยโดนกดทับจนต้องการพื้นที่ยอมรับให้กับเขาเหล่านั้น ยิ่งฟังและคิดตามความคิดเด็ก ยิ่งต้องขยันทำงานในพื้นที่อีกหลายเท่า เพื่อให้เด็กของเราเติบโตสมบูรณ์มากที่สุด

นั่งครุ่นคิดกับกิจกรรมเช้าได้ไม่นาน ความสุขสราญของช่วงบ่ายก็เข้ามาแบบไวไว การท่องโลกพยัญชนะ ยังเป็นอะไรที่ดึงพลังจากฉันไปสู่เด็กเสมอ เพราะต้องพยายามทำความเข้าใจ และทำให้เด็กพยายามทำกิจกรรมวิชาการไปด้วยกันให้ได้ ฉันพบว่าพื้นที่บ้านจือแรงยังมีข้อจำกัดทางภาษาอยู่บ้าง แต่จริงๆมันมาจากความไม่มั่นใจมากกว่าว่าเขาทำถูกหรือผิด จึงไม่กล้าผสมคำในช่วงแรก แต่ยังไงพอเสริมแรงและให้กำลังใจกัน เด็กก็ทำได้ดีขึ้นมากกกก และฉันคิดว่าในทุกที่ก็ควรช่วยเด็กให้ฝึกฝนกันต่อไป และคำสุดท้ายในภาษาไทยที่ฉันมอบไว้ให้เด็กๆคือคำว่า "ความสุข"

ภาษาที่ทำให้เด็กครียะ ก็ผ่านไปได้จนย้ายกันไปสู่ช่วงเวลา ธรรมชาติมหัศจรรย์ อัญชันเปลี่ยนสี และผักกาดมีชีวิตกัน ช่วงนี้เป็นไฮไลน์อีกช่วงที่เด็กๆจะได้หัดเป็นคนช่างสังเกต และตั้งคำถามที่หาเหตุผลได้ และความตื่นเต้นของเด็กก็ชัดเจนขึ้น ในช่วงที่ทำให้กระดาษสีขาว น้ำใสใส คลายเป็นสีครามจากดอกอัญชัน และทำให้สีครามของดอกอัญชันคลายเป็นสีม่วงเมื่อเจอกับ ฤทธิ์ของกรดจากน้ำมะนาว หลายคนบอกว่าเคยทำแต่ยังไม่เคยตั้งคำถาม แต่เมื่อเขาเริ่มถาม เริ่มสงสัยเขาจะมีแรงบันดาลใจเพื่อวิ่งไปหาคำตอบกัน ยังไม่จบกับการทดลอง เพราะเรายังมีการทดลองให้รู้ว่าต้นไม้มีชีวิต และต้องการอาหารเหมือนกับคน ผ่านการดูดซึมและลำเลียงน้ำของผักกาด แต่จะเป็นน้ำธรรมดาก็แลดูจะธรรมดาไป เราจึงยังคงใช้สีผสมอาหารเพื่อทำให้เด็กเห็นภาพได้ชัดขึ้น แต่การทดลองนี้เด็กน้อยต้องรอคอยว่าผลจะเป็นอย่างไร โดยรู้ผลพรุ่งนี้เช้า

เสร็จสิ้นกระบวนการช่วงกลางวัน ฉัน สหาย และเพื่อนพ้องน้องพี่ในค่าย ได้มีโอกาสนั่งท้ายกระบะมุ่งหน้าสู่ลำคลองที่เป็นแม่น้ำที่ช่วยหล่อเลี้ยงชาวบ้านในตำบลตะมะยูง เพื่อพาเด็กผู้ชายไปอาบน้ำที่คลองแห่งนี้ อากาศช่วงเย็นช่างแสนดี แลดูเป็นใจให้เรายิ่งนัก ท้องฟ้าเป็นเกร็ดขาวฟ้า เหลือบสลับกับสีทองของพระอาทิตย์ที่จะหายไป มันช่างสุขใจยิ่งนัก ความชิวก็เข้ามาแทนความล้าที่มีทั้งวัน #การมาค่ายทุกครั้งก็เหมือนการเติมพลังจากพื้นที่ ไม่นานมากเราก็ต้องกลับเพราะเด็กเด็กยังต้องละหมาดและมีกิจกรรมค่ำอีกเล็กน้อย

ค่ำนี้เราอยากจะเล่านิทานให้เด็กๆฟัง แต่มันยังไม่ลงตัวนัก กิจกรรมเลยปรับเป็นการสร้างหอคอยจากหลอด ที่ต้องสูง มั่นคง แข็งแรง ซึ่งเราใช้เวลาแค่ไม่นาน ราว 20 นาที กับการทำกิจกรรมนี้ แต่เวลาที่นานกว่าคือ การทำความเข้าใจกับความหมายที่ซ่อนอยู่ เพราะหลายคนมักอยากทำให้หอคอยสูง จนหลงลืมฐานที่มั่นคง เหมือนกันกับชีวิตที่หลายครั้งเราอยากทำอะไรให้มาก ทำให้ยิ่งใหญ่ แต่ลืมมองและทำรากฐานให้ตนเองเข้มแข็ง อันนี้น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีมากๆอย่างหนึ่ง และกิจกรรมนี้ก็ได้กลับมาสอนให้ฉันทบทวนตัวเองเช่นกัน มันช่างผ่านวันแรกด้วยความสุขและประทับใจยิ่งนัก

เช้าวันที่สองของค่ายเริ่มต้นด้วยอากาศที่คูลลล หรือแถวนั้นเขาจะบอกว่า "ซูโย๊ะ" ที่แปลว่าหนาววววว ซึ่งฉันและสหายยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าหนาวจริง เพราะอุณหภูมิที่ปรากฏคือ 19 องศา นั่นเอง

เราพาเด็กเด็กเข้าสู่โหมดเรียนรู้ของวันที่สอง ด้วยการกลับไปดูผักกาดที่เด็กเด็กได้ทดลอง และทุกคนก็ตื่นเต้น พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เคยทำอะไรแบบนี้ และชอบใจที่ได้ทำเพราะมันคือการเรียนรู้จากการทดลองจริง และคำตอบที่บอกว่าธรรมชาติมีชีวิตก็ปรากฏชัดบนก้านผักกาดที่ดูดซึมน้ำที่มีสีผสมเข้าไป จนทำให้ผักกาดสีขาวกลายเป็นผักกาดหลากสี

จากนั้นช่วงที่สนุกสุดสุดก็มาถึง เราออกตามล่าหาสมบัติในค่ายกันอีกครั้ง ค่ายนี้เราพาเด็กๆไปตามหาสมบัติแห่งบ้านจือแรง ที่ซ่อนในสวนมะนาว สวนยาง ริมทางเดิน ข้างถนน รอบรอบหมู่บ้าน การสำรวจหาสมบัติสนุกและมีความหมายกับการออกเดินทางของเด็กๆมาก เพราะเขาได้หัดสังเกตของรอบกาย และได้ทำความเข้าใจถึงของที่มีในชุมชน ทุกคนได้ของติดไม้ติดมือมาเป็นสมบัติที่จะทำงานประดิษฐ์ได้ แต่เมื่อเดินสำรวจเสร็จ เด็กเด็กทุกคนก็พาตัวเองเข้าสู่โลกจินตนาการ เพื่อสร้างผลงาน "จือแรบ้านฉัน"

เวลาผ่านไปราวราวหนึ่งชั่วโมง เด็กน้อยมุ่งมั่นจนงานออกมาสวยงาม พร้อมจะส่งต่อเรื่องราวให้ผู้ใหญ่ในพื้นที่ได้ฟัง รอยยิ้มมีกว้างมากเสมอเมื่อเด็กส่งต่อเรื่องราวที่ตนเองคิดออกมา เพราะมาจากความไม่เดียงสาที่จริงใจเสมอ

ช่วงสุดท้ายก็เดินทางมาถึง รอบนี้ฉันให้เด็กน้อยแต่งนิทานค่าย จริงๆอยากให้เขาฝึกเขียน ฝึกบันทึกเพื่อที่เขาจะได้รู้ว่าช่วงหนึ่งของชีวิตเขาได้ทำอะไรไปบ้าง เผื่อวันหนึ่งกลับมาอ่าน จะได้ยิ้มกับความทรงจำสีจางนั้นได้เสมอ เรื่องราวที่เป็นนิทานที่ถูกเล่าขานผ่านคำพูดของเด็กเด็กทำให้คนนำกิจกรรมน้ำตาคลอ คำพูดที่จริงใจ คำขอบคุณที่มีความหมาย และการกล้าหาญที่เด็กน้อยแสดงออกมามันทำให้ฉันอิ่มเอมใจยิ่งนัก

เมื่อมีพบก็ต้องมีจาก มันเป็นสัจธรรมของโลกใบนี้จริงๆ และทุกสิ่งก็ถูกกำหนดไว้แล้ว ฉันก็เชื่อแบบนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันจะทำหลังจากสิ่งนั้นถูกกำหนดไว้แล้วคือ ฉันจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเสมอ การกล่าวคำขอบคุณและขอมาอัฟกับค่ายในครั้งนี้ทำฉันน้ำตาไหลอีกครั้ง หรือพูดว่าน้ำตาไหลทุกครั้งก็คงเป็นได้ แต่ครั้งนี้คำว่าความสุขมันชัดเจนขึ้นกว่าเคย เหตุผลหนึ่งคงเป็นเพราะการเป็นคนพุทธเพียงคนเดียวในค่ายครั้งนี้ และในพื้นที่แห่งนี้ จึงทำให้ฉันรู้สึกแบบนั้น เพราะพี่น้องมุสลิมในพื้นที่พยายามดูแลฉัน ส่งรักให้ฉัน พยายามปฏิบัติต่อฉันจนฉันกลายเป็นคนพิเศษมากกก จนแลดูมากกกเกินไป จนฉันกลัวทุกคนจะเหนื่อย หลายคนอยากเข้ามาใกล้ อยากมาคุยแต่ไม่กล้าได้แต่ยิ้มให้ แต่ไม่มีใครเลยที่ทำฉันหนักใจ หรือหวาดกลัวเลย อาจจะเกร็งที่ฉันก็อยากสื่อสารแต่ทำได้ไม่ดีนักด้วยภาษา แต่สิ่งนี้ไม่ใช่ปัญหาเพราะภาษากายและความรู้สึกดีมันชัดจนทำลายกำแพงเหล่านั้นลงได้

ยิ่งได้ทำค่ายเด็กยิ่งทำให้ฉันเติบโต ยิ่งได้ใช้จินตนาการฉันกลับยิ่งรู้สึกชาญฉลาดขึ้น และยิ่งได้สัมผัสพื้นที่มากเท่าไหร่ ฉันกลับยิ่งตัวเล็กลงเท่านั้น มันช่างน่าแปลกนักที่แท้จริงแล้วความสุขของคนเราหาได้มาจากปัจจัยภายนอกเป็นสำคัญ แต่มันกลับมาจากสุขใจภายในเป็นสำคัญกว่า และการเดินทางไกลของชีวิตคนเราจะมีความหมายเมื่อเรามีความสุขกับทุกเรื่องราวได้เสมอ

สุดท้ายท้ายสุดของทุกครั้ง ฉันยังคงต้องขอบคุณ NUSANTARA Patani - มูลนิธินูซันตารา ที่ให้โอกาสฉันได้ทำความสุขให้เกิดขึ้นกับฉันและพื้นที่แห่งนี้ เด๊ะละห์และสาวสาว หนุ่มหนุ่มทุกคน ของนูซันตาราที่ยิ่งทำงานก็ยิ่งรักกัน ขอบคุณผู้ร่วมกระบวนการคนสำคัญ จิวา แห่ง YICE และพวกพ้อง พร้อมทั้งสหายรัก นีโม่ มี หญิง ซูไก และใหม่ จากทีม มอ. ตานี และที่สำคัญที่สุดอยากบอกขอบคุณและบอกรักเด็กน้อยทุกคน พร้อมผู้ใหญ่ใจดีจากบ้านจือแรง ต. ตะมะยง อ.ศรีสาคร จ. นราธิวาส อีกครั้ง มีโอกาสจะได้เจอกันอีกแน่นอนคะ

เพราะชีวิตอาจยังมีทางเดินอีกไกล แต่ตอนนี้ฉันก็มีความสุขกับระหว่างทางของวันนี้แล้วจริงๆ

Life's a Long Way to Run, But We Can Find Happiness Along the Way.

 

#ด้วยรักจากใจที่เป็นสุข

กะเดียร์

11 กุมภาพันธ์ 2561

 

 

 

ดูรูปภาพเพิ่มเติมได้ ที่นี่