ไชยยงค์ มณีพิลึก
“คาร์บอม์” และ จยย. บอมบ์ กลางเมืองยะลา และ นราธิวาส 3 ครั้งติดๆ กัน ได้ส่งผลสะเทือนไปยัง หน่วยงานและบุคคลหลายๆ คน ที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ในการรักษาความสงบ และแก้ไขปัญหาการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างเห็นได้ชัด
ไม่เพียงแต่ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ที่ถูกสังคมตั้งข้อสงสัยถึง ถึงขีดความสามารถที่แท้จริงว่า เหมาะสมกับการทำหน้าที่แก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ หรือเกิดความไร้เสถียรภาพใน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และไร้ “เอกภาพ” แห่งการบูรณาการระหว่างหน่วยงานในพื้นที่หรือไม่
และแม้แต่ภานุ อุทัยรัตน์ รักษาการเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. ที่น้อยครั้งจะถูก “พาดพิง” ถึงครั้งนี้ สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ยังอดไม่ได้ที่จะตวัด “ไม้เรียว” พร้อมสำทับว่า ศอ.บต. และฝ่ายปกครอง ต้องมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาให้มากกว่านี้ ไม่ใช่ปล่อยให้ทหาร ตำรวจ รับผิดชอบเพียงลำพัง
แต่.. ที่สะเทือนที่สุดคือการออกมาทิ้ง “บอมบ์” จาก สส.พรรคประชาธิปัตย์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่นำโดยประเสริฐ พงษ์สุวรรณศิริ สส.ยะลา ที่เรียกร้องให้กองทัพรับผิดชอบ โดยให้มีการเปลี่ยนตัว ผบ.ทบ. เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้นกับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างได้ผล
และผลที่ติดตามมาจากการออกมาเคลื่อนไหวของ สส. กลุ่มนี้คือความไม่พอใจของคนในกองทัพ สะท้อนออกมาจนสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงรู้สึกได้ จนมีการเรียก สส.กลุ่มที่เรียกร้องให้เปลี่ยนตัว ผบ.ทบ. มาพบเพื่อคาดโทษในข้อหาที่สร้างความไม่พอใจให้กับคนในกองทัพ
ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาไปข้างหน้าของสถานการณ์ความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่นับวันกองทัพยิ่งจะตกเป็น “จำเลย” ของสังคม เพราะระยะเวลา 7 ปี ของสถานการณ์แห่งความไม่สงบสี่พันกว่าชีวิต ที่สูญเสียของทหาร ตำรวจ พลเรือน และประชาชน กับเงินงบประมาณ 100,000 กว่า ล้าน ที่สูญเสียไป จะต้องมีผู้รับผิดชอบ เมื่อรัฐบาลแต่ละรัฐบาลที่ ผ่านมา ต่างไม่มีนโยบายที่ชัดเจนกับการดับ “ไฟใต้” และต่างมอบหมายให้กองทัพเป็นผู้รับผิดชอบในการแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้น สุดท้ายจำเลยในสายตาของประชาชนคือทหาร และทหารที่ว่าย่อมหมายถึงกองทัพนั่นเอง
การที่ผู้แทนประชาชนอย่าง สส.ในพื้นที่ รวมทั้งองค์กรต่างๆ พุ่งเป้าไปยังกองทัพและเห็นว่ากองทัพ “ล้มเหลว” กับปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นการ “เข้าทาง” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดนตามที่ต้องการ เพื่อที่ขบวนการจะได้ใช้เป็น “เงื่อนไข” ให้เกิดการผลักดันกำลังของกองทัพออกจากพื้นที่ รวมทั้งเป็น “เงื่อนไข” ในการโฆษณาชวนเชื่อต่อมวลชน
ถึงการ “สูญเปล่า” ของงบประมาณและปลุกระดมให้เห็นว่าสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือความไม่จริงใจในการแก้ปัญหาของกองทัพ แต่เป็นการ “เลี้ยงไข้” เพื่อหวังงบประมาณจำนวนมหาศาลที่มาจากภาษีของประชาชน
และสิ่งที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนเรียนรู้จากการก่อความไม่สงบคือ การฆ่าคนและการก่อวินาศกรรมในเขต “ชนบท” หรือพื้นที่รอบนอก แม้ความเสียหายจะมีมาก แต่ผลสะเทือนต่อกองทัพกลับมีน้อยยิ่ง ไม่เหมือนกับการก่อวินาศกรรมในตัวเมืองที่เป็นย่านธุรกิจ การค้า เนื่องจากผู้ได้รับผลกระทบ คือ กลุ่มทุน นักธุรกิจ ที่มีความใกล้ชิดกับกลุ่มอำนาจ ใกล้ชิดกับนักการเมือง ดังนั้นผลสะเทือนจาก “คาร์บอมบ์” ในตัวเมืองทั้ง 3 ครั้ง จึงสะท้อนผ่านไปยัง สส.ในพื้นที่ และส่งผลสะเทือนไปสู่กองทัพโดยตรง
ดังนั้น สิ่งที่กองกำลังในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นกองบัญชาการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ “ศชต” และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และอื่นๆ ต้องเตรียมตัวรับมือคือการก่อความไม่สงบ จะเกิดขึ้นในตัวเมืองมากยิ่งขึ้น เพราะฝ่ายผู้ก่อเหตุเห็นถึงผลสะเทือนที่ชัดเจน
โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่กำลังจะมีการประกาศยุบสภาเพื่อเลือกตั้งครั้งใหญ่ในไม่ช้านี้ นักการเมืองจะ “หยิบยก” เอาความ “ล้มเหลว” ของกองทัพและความ “ล้มเหลว”ของรัฐบาล ในการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อใช้ในการ “หาเสียง” มากยิ่งขึ้น โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงแทนที่จะเป็น “รัฐบาล” กลับกลายเป็น “กองทัพ” เพราะภาพที่ชาวบ้านเห็นจน “ชินตา” คือกำลังทหารที่เดินขวักไขว่ในพื้นที่
หาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า คิดที่จะแก้ปัญหาความไม่สงบให้ทุเลาเบาบางลง ต้องปรับยุทธวิธี ทั้งการป้องกัน การตอบโต้การข่าว การต่อต้านข่าวกรอง การเข้าถึงมวลชน ให้สอดคล้องกับสภาพของพื้นที่และข้อเท็จจริง ต้องแยกแยะวิธีการที่จะใช้ในตัวเมืองกับพื้นที่รอบนอกให้ออกจากกัน ต้องมีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานของรัฐ และกับภาคประชาชนอย่างจริงๆ จังๆ โดยเฉพาะงบประมาณ ต้องไม่กระจุกตัวอยู่กับ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างที่มีการ “นินทา” กันในทุกวงการอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้
ถ้า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้ายังหายใจเข้า-ออกเป็น “บีอาร์เอ็นฯ” ทุ่มเททุกสรรพสิ่งเพื่อสู้รบกับ “บีอาร์เอ็นฯ” โดยละเลยปัญหา “ทับซ้อน” ที่มีอยู่มากมาย เช่น ขบวนการค้ายาเสพติด ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน ขบวนการธุรกิจผิดกฎหมาย ขบวนการ “อิทธิพล” ที่ขยายสาขาแทรกซึมไปทุกส่วนราชการ โดยการ “แบ่งปัน”ผลประโยชน์ให้กับเจ้าหน้าที่รัฐส่วนหนึ่ง และเป็นส่วนที่ส่งเสริม “บีอาร์เอ็นฯ” ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย “ก้าวข้าม” ปัญหาทั้งหมดนี้ และไปมุ่งเป้าอยู่กับ “บีอาร์เอ็นฯ” ย่อมเป็นการกำหนด “ยุทธศาสตร์” ที่ผิดพลาดอย่างแน่นอน
ไม่เถียงว่า “บีอาร์เอ็นฯ” คือ แกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่เป็นผู้สั่งการ และสร้าง แนวร่วมเพื่อก่อความไม่สงบให้เกิดขึ้น แต่ถ้า “บีอาร์เอ็นฯ” ปราศจากการหนุนเสริมจากกลุ่มขบวนการนอกกฎหมายทั้ง 4 กลุ่ม ปฏิบัติการของ “บีอาร์เอ็นฯ” จะด้อยประสิทธิภาพลง และ กองทัพจะ “จัดการ” ต่อ “บีอาร์เอ็นฯ” ได้ง่ายขึ้น ดังนั้นสิ่งที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าต้องทำคือการก้าวข้าม “บีอาร์เอ็นฯ” ให้ได้ เพื่อที่จะมีชัยชนะเหนือ “บีอาร์เอ็นฯ”ในที่สุด