Skip to main content
ไชยยงค์ มณีพิลึก
 
แม้ว่า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ภายใต้การนำของ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 จะใช้นโยบายแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้นด้วยการ “ก้าวข้าม” บีอาร์เอ็นฯ โดยให้ความสนใจในการปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน และ ขบวนการกลุ่มอิทธิพลผลประโยชน์ ที่เปรียบเสมือน ปุ๋ย น้ำ อากาศ ที่เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับ “บีอาร์เอ็นฯ” การ “จัดการ” กับขบวนการทั้ง 3 ขบวนการ จึงเท่ากับเป็นการ “ปิดสกัด” เส้นเลือดใหญ่ หรือกระเป๋าเงินของ “บีอาร์เอ็นฯ” ส่วนการจัดการกับ “บีอาร์เอ็นฯ” นั้น มีการกำหนด “ยุทธศาสตร์” และ “ยุทธวิธี” ที่ชัดเจนอยู่แล้ว การที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ไม่ “หายใจ” เข้า ออก เป็น “บีอาร์เอ็นฯ” จึงเป็นวิธีการหนึ่งในการเอาชนะ “บีอาร์เอ็น” ได้ในที่สุด
 
แต่.. ปัญหาหนึ่งที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องไม่มองข้าม และใช้นโยบายเร่งด่วนในการแก้ปัญหา คือ ปัญหาภายในของ “กองทัพภาคที่ 4” หรือของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งเป็นเหมือน “สนิม” ที่เกิดจาก “เนื้อใน” ตนเอง และบั่นทอนประสิทธิภาพของหน่วยงานมาโดยตลอด
 
เช่น การปล้นปืนของกองกำลังทหารหลายครั้ง มีข้อสังเกตให้เห็นว่า หน่วยที่ตกเป็น “เป้า” ของขบวนการ เป็นกำลังทหารของกองพล 15 เช่น การปล้นปืนและการละลายฐานกองร้อยพระองค์ดำที่ ต.มะรือโบตก อ.ระแงะ และการปล้นปืนครั้งล่าสุดที่ฐานปฏิบัติการ ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ซึ่งสรุปตรงกันว่า ทั้ง 2 ครั้ง ที่ถูกปล้น กำลังทั้ง 2 หน่วย มีความไม่สมบูรณ์ในการป้องกันตนเอง โดยปล่อยให้ “ศัตรู” โจมตี และ เข้าประชิดตัว โดยไม่มีการป้องกัน เช่น การปล้นปืนที่ฐานปฏิบัติการ ต.บองอ “แนวร่วม” บุกเข้าถึงตัว “ทหาร” ทั้งหมด บังคับเอาปืน และถอดเสื้อผ้าชุดพราง รวมทั้งเสื้อเกราะ ก่อนที่จะรุมซ้อม “หัวหน้าชุด” จนบาดเจ็บสาหัส โชคดีที่ “แนวร่วม” คิดเอาแต่ “ยุทโธปกรณ์” ชีวิตของทหารทั้ง 7 นาย จึงรอดมาได้อย่าง “ฉิวเฉียด”
 
มีการ “วิเคราะห์” สภาพของ “กองพล 15” ซึ่งแต่เดิมตั้งอยู่ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และถูกย้ายมาสร้าง “กองพลใหม่” ที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี โดยมีภารกิจรับผิดชอบพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างถาวร แทนกำลังของกองทัพภาค 1 , 2 และ 3 ในอนาคต ว่า
 
เจ้าหน้าที่จำนวนมากของกองพลที่ 15 ซึ่งเคยอยู่อย่างสบายๆ ในพื้นที่เดิม เมื่อถูกโยกย้ายมาอยู่ในที่ตั้งแห่งใหม่ที่ จ.ปัตตานี พร้อมทั้งครอบครัว ต่างไม่ “แฮปปี้” กับสถานที่ใหม่ ชีวิตใหม่ เพราะ เป็นพื้นที่ซึ่งไม่มีความปลอดภัย ทั้งตัวเอง และครอบครัว กำลังจำนวนมาก ทั้งสัญญาบัตร และ ประทวน ต่างต้องการย้ายออกไปอยู่ยังหน่วยอื่นๆ มีการวิ่งเต้น มีการหา “เส้นสาย” ผู้หลักผู้ใหญ่ จนขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่หายไปกว่าครึ่ง
 
ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่กำลังของกองร้อย หรือ หน่วยย่อยต่างๆ ของ “กองพล 15” อาจจะมีกำลังพลจริงๆ น้อยกว่ากำลังพลในบัญชี เช่น กำลังพลของกองร้อยพระองค์ดำ ที่ถูกปล้นปืน และสลายค่าย ในวันที่เกิดเหตุมีกำลังเพียง 19 นาย จากทั้งหมด 30 กว่านาย ทั้งที่หนึ่งกองร้อยต้องมีกำลังอย่างน้อยกว่า 80 นาย กำลังเหล่านี้หายไปไหน คำตอบก็คือ ไม่มีอยู่ในพื้นที่จริง ซึ่งศัพท์ของ “ทหาร” คือ “บัญชีผี”
 
นอกจากนั้น “กองพลที่ 15” ณ วันนี้ คือ กองพลที่ไร้ “หัว” เพราะ ผบ.พล. อยู่ระหว่างการเรียน วปอ. ภารกิจทั้งหมดจึงอยู่ที่ “รอง ผบ.” ซึ่งไม่ใช่ “ผู้บังคับบัญชา” และผู้รับผิดชอบ “ตัวจริง”
 
รวมทั้งกำลังของ “กองพลที่ 15” ยังต้องมีการฝึกทบทวน ฝึกยุทธวิธีในการสู้รบกับ “แนวร่วม” ในพื้นที่ เพื่อให้มีประสิทธิภาพกว่าที่เป็นอยู่ เพราะ “สงคราม” ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นสงคราม “กองโจร” เป็นการสู้รบระหว่าง “เจ้าหน้าที่รัฐ” กับ “ประชาชน” ที่มีความคิดต่าง เห็นต่าง กับ “รัฐ” เป็น “สงคราม” แย่งชิงมวลชน ไม่ใช่การสู้รบกับผู้ “รุกราน” ตามแนวชายแดน เช่น ไทย-พม่า ซึ่งขณะนี้ยังพบว่า “กองพลที่15” ยังไม่พร้อมในการเข้ารับผิดชอบพื้นที่อย่างเต็มตัว จนกลายเป็น “จุดอ่อน” เป็น “ช่องว่าง” ตกเป็นเป้าหมายของ “แนวร่วม” ในการ “ปล้นปืน” เพื่อนำไปติดอาวุธสู้รบกับ “เจ้าหน้าที่รัฐ”
 
ในขณะที่กองกำลังของ “ทหารพราน” ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นั้น ขีดความสามารถยังไม่เหนือกว่ากองกำลัง “อาร์เคเค” และ “คอมมานโด” ของขบวนการ “บีอาร์เอ็นฯ” ทหารพรานส่วนหนึ่งเข้ามาสู่สนามรบใน 3 จังหวัด เพราะ “ตกงาน” และส่วนหนึ่ง เพราะ อยู่บ้านไม่ได้ มีเพียงส่วนเดียวเท่านั้นที่เข้ามา เพราะ “จิตอาสา” เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับบ้านเกิดของตนเอง “ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้” ต้องการ “ทหารพราน” แบบของค่าย “ปักธงชัย” ในอดีต ที่มีขีดความสามารถ “รุก” “รบ” “รับ” กับ “แนวร่วม” ของขบวนการได้อย่างแท้จริง
 
เช่นเดียวกับ อส. และ ชรบ. แม้ว่า “รัฐ” จะมีการการรับสมัคร อส. และ ชรบ. เป็นจำนวนมาก แต่ถ้าตรวจสอบกันอย่างจริงๆ จังๆ และ “โปร่งใส” จะพบว่า เป็นการมากที่ “ปริมาณ” แต่ไม่ได้มากที่ “คุณภาพ” และ “ประสิทธิภาพ” ความ “มาก” ดังกล่าว จึงไม่ได้ช่วยให้ “สถานการณ์” ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดีขึ้นอย่างที่คิด ที่หวัง และ ต้องการ
 
วันนี้ กอ.รมน. อาจจะประเมินว่า ปฏิบัติการได้ผล จากการที่ควบคุมตัว “แนวร่วม” มาได้จำนวนหนึ่ง และสอบขยายผลเข้าปิดล้อมที่หลบซ่อนของ “แนวร่วม” ด้วยกัน และ “จับตาย” เพิ่มมากขึ้น แต่โดยข้อเท็จจริง “แนวร่วม” ที่ได้มา ส่วนใหญ่เป็น “ปลายแถว” เช่น ทำหน้าที่โปรยตะปูเรือใบ โค่นต้นไม้ขวางถนน เผาตู้โทรศัพท์ เผาศาลาริมทาง ซึ่งเรียกว่า เป็น “แนวร่วม” นอกขบวนการการ แต่ในส่วนของ “แนวร่วม” ในขบวนการ ที่ผ่าน “ปอเนาะ” และ “สถานศึกษา” บางแห่ง ที่เป็นแนวร่วม “ฝังชิป” กอ.รมน. ยังโยกคลอนไม่สำเร็จ ดังนั้นการ “วิสามัญ” จึงไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่แท้จริง เพราะ อาจจะเข้าตำรา “ตายหนึ่งเกิดสิบ” เป็นการเพิ่มจำนวน “แนวร่วม” เครือญาติให้มากขึ้นก็เป็นได้
 
ความสำเร็จของการ “ดับไฟใต้” นอกจากการมุ่งจัดการกับปัญหาภายนอก คือ กำจัด “บีอาร์เอ็นฯ” ยาเสพติด น้ำมันเถื่อน และกลุ่มอิทธิพล แล้ว เรื่องภายในของ กอ.รมน. และ ความ “โปร่งใส” ของการใช้งบประมาณ และเรื่องความไม่เป็นธรรมในหน่วยกำลัง ระหว่าง “ผู้ใหญ่” กับ “ผู้น้อย” เรื่อง “ขวัญกำลังใจ” เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ถ้าจัดการกับปัญหาภายในไม่ได้ อย่าได้หวังว่า จะพบกับความสำเร็จในการ “ดับไฟใต้” เพราะ 7 ปี ที่ผ่านมา ปัญหา อุปสรรค ที่แท้จริง ล้วนเกิดจากเรื่อง “ภายใน” ของ “กองทัพ” ทั้งสิ้น