Skip to main content
ไชยยงค์ มณีพิลึก
 
“คาร์บอมบ์” ครั้งล่าสุดในเขตเทศบาลนครยะลา ที่ส่งผลให้มีเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 1 ศพ และมีเจ้าหน้าที่และประชาชนบาดเจ็บกว่า 20 คน เป็นการสะท้อนถึงความ”ล้มเหลว”ของ หน่วยงานรัฐ ที่มีหน้าที่ในการ ป้องกัน เหตุร้าย อย่างปฏิเสธ ไม่ได้
 
          เพราะก่อนหน้านี้”คาร์บอมบ์” แบบเดียวกัน ได้เกิดขึ้นในเขตเทศบาลนครยะลา ติดต่อกัน 2 ครั้ง ตั้งแต่เดือน มกราคม 2554 เป็นต้นมา ทำให้มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ และอาคารบ้านเรือน ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก
 
          จาก”คาร์บอมบ์” ทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา ทำให้ ทหาร ตำรวจ และ ฝ่ายปกครอง มีการประชุมร่วมกัน และได้ลงนามใน”เอ็มโอยู” ซึ่งเป็นข้อตกลงในการป้องกัน การเกิดเหตุร้ายในครั้งต่อไป เป็น”เอ็มโอยู” ที่ถือปฏิบัติใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
 
          โดยกำลังของ ทหาร จะเป็นผู้รับผิดชอบ การก่อการร้าย หรือก่อความไม่สงบในทุกพื้นที่ยกเว้นในเขตเมือง หรือในพื้นที่เทศบาล โดยในเขตเทศบาลให้เป็นหน้าที่ของ ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บังคับการตำรวจภูธรประจำจังหวัด และ นายกเทศมนตรีของเมืองนั้นๆ เป็นผู้รับผิดชอบ โดยกำลังทหารจะเป็นกำลังเสริม
 
เหตุผลที่กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าที่ ยกหน้าที่หลัก ในการป้องกัน และ รักษาความสงบในเขตเทศบาลให้กับ ผวจ. ผบก. และ นายกเทศมนตรี น่าจะมาจาก 2 กรณีด้วยกัน 1 ที่ผ่านมา กำลังทหารไม่เคยป้องกันเหตุร้าย ไม่ว่าจะเป็น”คาร์บอมบ์” หรือเหตุอื่นๆ อย่างได้ผล แต่เมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้น ทหาร ต้องรับผิดชอบ และตกเป็น “จำเลย”ของสังคมมาโดยตลอดในข้อหา”ไร้น้ำยา” ในการป้องกันเหตุร้าย และ 2 กำลังของทหาร ซึ่งมาจากกองทัพภาคต่างๆ ไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ในตัวเมือง ซึ่งมีถนน ตรอก ซอก ซอย บ้านเรือน สลัม และ ผู้คน เป็นจำนวนมาก ในขณะที่ฝ่ายปกครอง ตำรวจ และ เจ้าหน้าที่เทศบาล คุ้นเคยกับพื้นที่ และส่วนหนึ่งเป็นคนในพื้นที่ รู้จัก บุคคล รู้จัดสถานที่ได้ดี และฝ่ายปกครองมีกำลัง อส. จำนวนมาก ที่เพียงพอ ในการ หาข่าว และ ป้องกัน “แนวร่วม” ที่เป็นผู้ก่อเหตุ ได้ดีกว่าทหาร
 
แต่”คาร์บอมบ์” ที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุด คือคำตอบ”สุดท้าย”ว่า ไม่ว่าจะเป็น ทหาร ปกครอง หรือ ตำรวจ ในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต่างอยู่ในสภาพของความ”ล้มเหลว” ในการป้องกัน”คาร์บอมบ์” รวมทั้งการก่อการร้ายในรูปแบบต่างๆ ที่”แนวร่วม” เป็นผู้กำหนดขึ้น
 
          เหตุผลของความ “ล้มเหลว” ตลอดระยะ 7 ปี ที่ผ่านมา คือ”แกนนำ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนเป็นผู้กำหนด”เกม” ให้เจ้าหน้าที่ ทหาร ตำรวจ และ ฝ่ายปกครองเป็นผู้”เล่น” ดังนั้นผู้ที่ เล่นเกม ที่ถูกฝ่ายหนึ่งกำหนด จึงไม่มีทางได้เปรียบ และได้ชัยชนะ
 
          เช่น”คาร์บอมบ์” ครั้งนี้ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เจ้าหน้าที่รัฐ ได้ทุ่มเทกำลัง เข้าป้องกันเหตุร้ายอย่างต่อเนื่อง จนเกิดความล้าของกำลังพล หลังช่วงสงกรานต์”แนวร่วม” จึงฉวยโอกาส นำรถยนต์ที่ประกอบเป็น”คาร์บอมบ์” เข้ามาก่อการร้ายเป็นผลสำเร็จ
 
          การพูดเช่นนี้ เป็นการพูดทุกครั้งที่เกิดเหตุ หลังเทศกาลต่างๆ อันแสดงให้เห็นว่า ในขณะที่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน”แนวร่วม”เกาะติดอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา และจะปฏิบัติการทันที ที่เจ้าหน้าที่เปิด”ช่องว่าง”ให้ รวมทั้งแสดงถึง”กึ๋น”ของเจ้าหน้าที่ระดับ “ผู้บังคับบัญชา” ที่รู้ถึง”จุดอ่อน”ของตนเอง และรู้มานาน แต่ไม่เคยคิดจะ “แก้” หรือ ปิดอุดอ่อนเหล่านั้น
 
          เช่น ในเมื่อรู้ดีว่า จุดอ่อนของกำลังเจ้าหน้าที่รัฐทุกหน่วย คืออาการ”ล้า” ของกำลังพล ทำไมจึงไม่มีการจัดกำลังพลอีกหนึ่งชุด สำรองเอาไว้ เพื่อ”ซ้อนแผน”ของ”แกนนำ”ขบวนการแบ่งแยกดินแดน โดยเข้ามาแทนที่กำลังพลที่”ล้า” เข้ามาแทนที่กำลังชุดเก่า ซึ่งอาจจะเป็นกำลัง นอกเครื่องแบบ เพื่อเป็นการ”ตลบหลัง” แนวร่วมที่ฉวยโอกาสเข้ามาปฏิบัติการ
 
อส.เป็นจำนวนมาก ของฝ่ายปกครอง ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ ทำหน้าที่งาน”การข่าว” และงาน”ป้องกัน” อย่างจริงจังแค่ไหน สิ่งเหล่านี้เป็น คำถาม ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา เพราะหากทำหน้าที่อย่างจริงจัง เชื่อว่าต้องได้เบาะแสของ”แนวร่วม” ไม่มากก็น้อย และ ตำรวจ ในแต่ละ โรงพัก ได้”ทุ่มเท” กับงาน”การข่าว” และงาน”ป้องกัน” การก่อเหตุร้ายอย่างเต็มประสิทธิภาพหรือยัง โดยเฉพาะการตัดวงจรการโจรกรรมรถยนต์ การดัดแปลงรถยนต์ ที่มีที่มาจาก อู่รถ และ เต็นท์รถ ในพื้นที่รับผิดชอบ มีการตรวจสอบ ตรวจค้น อย่างต่อเนื่องหรือไม่
 
และสุดท้าย กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ทำหน้าที่ในเรื่องการ “บูรณาการ”เป็นผลสำเร็จหรือไม่ เพราะ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยังเห็นว่า ปกครองไปทางหนึ่ง ตำรวจไปทางหนึ่ง ปกครองท้องถิ่นไปทางหนึ่งเช่น พล.ท.อุดมชัยธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ให้สัมภาษณ์”สื่อ” วันแล้ววันเล่าว่า จะต้องตัดท่อน้ำเลี้ยงของ ขบวนการก่อการร้าย คือการจับกุมปราบปรามน้ำมันเถื่อน และยาเสพติด เพราะ ทั้ง 2 ขบวนการเป็น “กระเป๋าเงิน” ที่ขบวนการฯ ใช้ในการ ก่อการร้าย
 
          แต่ในทางปฏิบัติ ตำรวจผู้ถือกฎหมาย ป.วิอาญา ยังปล่อยให้มีการค้า การขาย น้ำมันเถื่อนและยาเสพติดทุกมุมเมือง ศุลกากร และ สรรพสามิต ที่มีหน้าที่โดยตรงในการปราบปราม จับกุม ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน ไม่เคยได้ยินคำพูดของแม่ทัพภาคที่ 4 เห็นได้จาก ขบวนการการค้าน้ำมันเถื่อน ยังนำน้ำมันผ่านด่านศุลกากร อ.สุไหงโก-ลก อ.ตากใบ จ.นราธิวาส อ.สะเดา จ.สงขลา วันละเป็นล้านลิตร แสดงให้เห็นว่า กอ.รมน.ภาค 4 ไม่มีการ”บูรณาการ” กับหน่วยงานอื่นๆ ในพื้นที่ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายเดียวกัน
 
          และที่สำคัญที่สุด ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าเคยสรุปการปฏิบัติการที่ผ่านมาหรือไม่ว่า ตลอดเวลา 7 ปี ที่ผ่านมาของความ”ล้มเหลว” ในการแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้น อะไรคือสาเหตุที่ หน่วยงานของรัฐ ไม่สามารถหยุดการขยายตัวของ”แนวร่วม” ที่เป็น”มวลชน” ของฝ่ายตรงข้ามอย่างได้ผล ทำไม”แนวร่วม” ที่ออกมารายงานตัวกับรัฐ จึงน้อยกว่า”แนวร่วม” และ มวลชน” ที่เกิดใหม่ และให้การสนับสนุน ขบวนการฯ นโยบายของรัฐ นโยบายของกองทัพ และทุกหน่วยงาน ผิดพลาดตรงไหน ปัญหานี้คือ ปัญหาใหญ่ที่สุด ที่ทุกหน่วยงานต้องหาคำตอบที่ถูกต้อง และ ชัดเจน
 
เพราะงบประมาณแผ่นดิน หรือภาษีของประชาชน 100,000 กว่าล้านที่หมดไปวันนี้คงหาใครรับผิดชอบไม่ได้ แต่งบประมาณใหม่ที่จะต้องใช้ถมลงไปเพื่อดับไฟใต้ต่อไปต้องไม่สูญเปล่าเหมือน 7 ปี ที่ผ่านมาต้องมีคนรับผิดชอบ และมีคน”ติดคุก” ในข้อหา “ค้าสงคราม” ที่ปลายด้ามขวาน