Skip to main content
ไชยยงค์ มณีพิลึก
 
จากวันที่ 28 เมษายน 2547 จนถึง ณ วันนี้ เหตุการณ์”ล้อมปราบ” ที่มัสยิด”กรือเซะ” อ.เมือง จ.ปัตตานี ได้ผ่านห้วงเวลามาแล้วถึง 7 ปี แต่กับความรู้สึกของคนในพื้นที่จังหวัดชาวแดนภาคใต้ เหตุการณ์ครั้งนี้ ซึ่งเป็นการ ต่อสู้ระหว่าง เจ้าหน้าที่”ทหาร”กับ”แนวร่วม”ผู้หลงผิด ที่ทำให้มีคนตายถึง 32 คน ยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำ เนื่องจากหลังการ”ล้อมปราบ” ครั้งนั้นแล้ว สถานการณ์การ สู้รบ ระหว่าง เจ้าหน้าที่รัฐ กับ”แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนฯที่มี “บีอาร์เอ็นฯ” เป็นแกนนำ ก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีการก่อความไม่สงบ วันละ 3-4 เหตุการณ์ มีคนตายเฉลี่ย วันละ 3-4 ราย เกิดขึ้นทุกวัน มิได้ขาด ดังนั้นความทรงจำจากเหตุความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นที่”กรือเซะ” ที่ “ตากใบ” ที่”อัลฟูรกอน” และที่อื่นๆ จึงถูก ตอกย้ำ ให้ฟื้นคืน เป็นระยะๆ
 
รวมทั้งเหตุการณ์ “ตายหมู่” ที่ มัสยิดกรือเซะ เหตุการณ์ตายหมู่ที่”ตากใบ” และอื่นๆ ถูก”แนวร่วม” หยิบยกมาเป็น”บทเรียน” ที่ใช้ในการนำมา ปลุกระดมมวลชน เพื่อให้เห็นถึงความผิดพลาดของรัฐ และของเจ้าหน้าที่รัฐ ในการแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้น เพื่อให้มวลชนในพื้นที่ เกลียดชัง ต่อต้าน และเป็น ปรปักษ์ กับเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งการปลุกระดม และโฆษณาชวนเชื่อของ”แนวร่วม” ได้ผลทั้งในพื้นที่ และในเวที ต่างประเทศ
 
ในส่วนของ”กองทัพ” ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล เพื่อแก้ปัญหาการก่อการร้าย เพื่อแบ่งแยกดินแดนของจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ในเวลา 7 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งได้ใช้งบประมาณในการแก้ปัญหาเพื่อดับ”ไฟใต้”ไปแล้วกว่า 100,000 ล้านบาท และได้กลายเป็น”จำเลย”ของสังคมอย่างอยกที่จะดิ้นหลุด
 
เพราะ 7 ปีที่ผ่านมา คดีที่เกิดขึ้นที่มัสยิดกรือเซะ ยังกลายเป็นความ”มืดดำ” ที่ไม่มีคำตอบถึงความ ผิด-ถูก มีแต่การ”เยี่ยวยา”ให้ผู้อยู่หลัง เช่นเดียวกับการตายหมู่กว่า 70 ศพ ที่”ตากใบ” ที่ไม่เพียงไม่มีคนผิด และคน รับผิด แม้แต่คนที่ควรรับผิด ต่างได้รับการ”อวยยศ” ในตำแหน่งที่ใหญ่กว่าเดิม หรือแม้แต่คดีฆ่าในมัสยิดอัลฟูรกอน ที่สุดท้ายแล้ว ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมมาดำเนินคดี ต่างได้รับการปล่อยตัว เพราะหลักฐานไม่เพียงพอในการเอาผิด
 
และแม้แต่คดีคนหายจากพื้นที่ นับแต่ปี 2547 จนถึง ปัจจุบัน จำนวน 31 คดี 31 ราย ต่างเงียบหายไปกับ สายลม แสงแดด และปรากฎเพียงหลักฐานในแฟ้มคดีการสืบสวนสอบสวนของ ตำรวจในแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีการแจ้งความไว้ว่า”ให้งดการสืบสวน” นี่ยังไม่รวมเรื่องราวต่างๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นกับคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ต่างจบลงอย่างเงียบๆและ”มืดมน”
 
แต่ ในความเงียบ และความมืดมน ของคนในพื้นที่ ของผู้ที่ถูกกระทำ และผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรม ต่างคุโชนด้วยความไม่พอใจ ด้วยความคับแค้นทางจิตใจ ต้นกล้าพิษเหล่านี้ต่างเติบโตกลางใจของพวกเขา และพร้อมที่จะแพร่พันธุ์ แตกดอกออกหน่อ ที่เป็นต้นไม้พิษ ซึ่งล้วนแต่เป็นการซ้ำเติม”ไฟใต้” ที่ยังไม่”มอดดับ” ให้ลุกโชน มากยิ่งขึ้น
 
7 ปี ที่ผ่านมา ในฟากของ”กองทัพ” ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้เป็นผู้กำหนด นโยบายในการดับ”ไฟใต้” โดยมีผู้ปฏิบัติอย่าง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต ) และศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศชต ) ยังไม่สามารถที่จะ”ยุติ” ปัญหาการก่อการร้ายที่เกิดขึ้น โดยยังไม่มีเปรียบ”บีอาร์เอ็นฯ” ทั้งในด้าน”การเมือง” และ”การทหาร” เห็นได้จากความ”ล้มเหลว” ในการป้องกัน “คาร์บอมบ์” และ “จยย.บอมบ์”ในเขตเมือง และการป้องกันการฆ่า”รายวัน” ในเขต”นอกเมือง” การก่อการร้ายในพื้นที่ 3 จังหวัดเกิดขึ้น วันละ 3-4 คดี ทุกวัน จนกลายเป็น สิ่งปกติในความรู้สึกที่”ชาด้าน”ของ คนในพื้นที่ไปแล้ว
 
วันนี้ “บีอาร์เอ็นฯ”มีการพัฒนาวิธีการหาเงินเพื่อใช้สนับสนุนในการก่อการร้าย เช่นนำมาซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ และค่าจ้าง เงินเดือนให้กลุ่มแนวร่วม และใช้ในงานการเมือง ด้วยการร่วมมือกับกลุ่มอิทธิพล ค้ายาเสพติด ค้าน้ำมันเถื่อน ค้าของเถื่อน มากกว่าการรับเงินจากประเทศที่สาม และมากกว่าการเก็บเงินจากมวลชนผู้ร่วมอุดมการณ์ และจากเจ้าของธุรกิจ เจ้าของโรงงาน
 
แต่ กองทัพ โดย กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เพิ่งจะก้าวตามทัน เพิ่งจะมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ เอาจริง กับขบวนการยาเสพติด น้ำมันเถื่อน และกลุ่มอิทธิพลผลประโยชน์ โดยจะใช้”กฎอัยการศึก” กับคนกลุ่มนี้ แต่ปรากฎว่า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ไม่ได้รับการตอบสนองจาก ตำรวจ ผู้ถือกฎหมาย ป วิอาญา และ ศุลกากร สรรพสามิต ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงกับ น้ำมันเถื่อน โดยปล่อยให้"แม่ทัพ” และกำลังพล เต้นแร้งเต้นกาเพียงลำพัง
 
วันนี้”บีอาร์เอ็นฯ” มีมวลชนเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม 2 เท่า แต่”กองทัพ” ยืนยันแล้วยืนยันอีกว่ากำลังของ”แนวร่วม”มีไม่เกิน 10,000 คน ทั้งที่โดยวิธีการ กว่าเราจะรู้ว่าใครเป็น”อาร์เคเค” ใครเป็น”คอมมานโด” หรือใครเป็น”แนวร่วม” ต้องใช้เวลา ในการรวบรวมหลักฐาน หรือไม่ก็ต้องรอให้คนเหล่านั้นลงมือก่อเหตุ จึงจะมีหลักฐานแน่ชัด ในขณะที่งานโฆษณาชวนเชื่อของ”แนวร่วม” มีมวลชนเพิ่มขึ้นทุกเวลา ซึ่งโดยข้อเท็จจริง วันนี้ หน่วยงานของรัฐ จึงไม่ควร”ฟันธง”ในเรื่องจำนวนของ”แนวร่วม” เพราะจะมีคำถามจากสังคมว่า ถ้า”แนวร่วม”แค่ 10000 คน กองทัพยังเอาไม่อยู่ ยังสูญเสียทั้งกำลังพล ทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ ทั้งถูก”ละลาย”ฐาน ถูกปล้นอาวุธอย่างง่ายดาย และ 7 ปี หมดเงินงบประมาณไปแล้ว 100,000 ล้าน ถ้าจำนวน”แนวร่วม”ของ “บีอาร์เอ็นฯ” มี 100,000 คน เรามิต้อง ขนเงินคงคลัง ออกมาถลุงเพื่อใช้ในการทำสงครามกองโจรในจังหวัดชายแดนภาคใต้ดอกหรือ
 
ยุทธศาสตร์”เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” เป็นยุทธศาสตร์ ในการดับ”ไฟใต้” ที่ถูกต้อง แต่ความผิดพลาดเกิดขึ้นจากการ ปฏิบัติ เพราะการปฏิบัติของ กอ.รมน.ก็ดี ของ ศอ.บต.ก็ดี ของ ศชต.ก็ดี ล้วนมากด้วย”ยุทธวิธี” แต่ไม่มี”ยุทธศาสตร์” วันนี้ทุกหน่วยงาน ต่างยกเอาพระราชดำรัฐของ”ในหลวง”ในเรื่อง”เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา”เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ไม่มีหน่วยงานใด ที่ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา “ เพื่อแก้ปัญหา”ไฟใต้” อย่างถูกต้องแท้จริง
 
ดังนั้น 7 ปีที่”กรือเซะ” จึงเป็น 7 ปี ที่”รัฐบาล” และ ”กองทัพ” ยังไม่ได้สรุป”บทเรียน” เพื่อนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ในการแก้ปมปัญหาความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังนั้นสิ่งที่ “กองทัพ”ทำได้และทำอยู่ คือ ก่อนถึงวันที่ 28 เมษายน ของทุกปี หน่วยข่าวในพื้นที่ ก็จะออกมาเตือนให้ หน่วยกำลังทุกหน่วย ระวังป้องกัน การก่อเหตุร้ายครั้งใหญ่ เพื่อเป็นการ “รำลึก” ถึงการ ตายหมู่ ที่ มัสยิดกรือเซะ เพื่อร่วมกัน”ตอกย้ำ”บาดแผลแห่งความ เจ็บปวด ให้เกิดขึ้น ทุกปี ทุกปี และอีกนานหลายปี