Skip to main content

ปกรณ์ พึ่งเนตร

          ตัวเลข ส.ส.กว่า 60 คนทั้งในระบบแบ่งเขตและระบบสัดส่วนของภาคใต้ คือความหวังสูงสุดของพรรคประชาธิปัตย์ในปฏิบัติการ "แหวกฟ้าคว้าดาว" เพื่อกลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง ภายหลังห่างหายจากบทบาทฝ่ายบริหารไปนานเกือบ 10 ปีเต็ม

          และความหวังของพรรคการเมืองเก่าแก่พรรคนี้ที่ต้องการกวาดที่นั่ง ส.ส.ในภาคใต้แบบ "ยกภาค" ก็ดูจะไม่ไกลเกินเอื้อมนัก หากย้อนดูผลการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2548 ที่ประชาธิปัตย์พลาดไปเพียง 2 เก้าอี้

          ที่สำคัญในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่โลโก้พระแม่ธรณีบีบมวยผมเคยเป็นแค่ตัวสอดแทรกของกลุ่มวาดะห์ในบางเขต แต่ในการเลือกตั้งครั้งนั้นประชาธิปัตย์กลับกวาดมาได้เกือบ 100% แถมเขตที่พลาดเพียงเขตเดียวในจังหวัดนราธิวาสยังตกเป็นของพรรคชาติไทย ซึ่งใช้ผู้สมัครที่ประชาธิปัตย์วางตัวเอาไว้เป็น "ขุนพล" อีกต่างหาก

          มูลเหตุสำคัญของชัยชนะอันท่วมท้นในดินแดนปลายสุดด้ามขวาน ก็คือความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอด 4 ปีแรกที่อดีตพรรคไทยรักไทยทำหน้าที่เป็นรัฐบาล ซึ่งประชาธิปัตย์ก็ไม่รอช้าที่จะฉวยโอกาสนั้นด้วยการชู "คำประกาศปัตตานี" เพื่อเดินหน้าดับไฟใต้ทันทีหากมีโอกาสได้เป็นฝ่ายบริหาร

          ยิ่งในช่วงรัฐบาลทักษิณ 2 ต่อเนื่องถึงรัฐบาลหลังการรัฐประหาร สถานการณ์ในพื้นที่ยิ่งเลวร้าย ประชาธิปัตย์โดยอดีตแม่ทัพใหญ่ที่ชื่อ ชวน หลีกภัย ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนราษฎรอย่างต่อเนื่องไม่เคยขาด ทำให้ได้ใจชาวบ้านไปอีกโข

          ในการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคมปีนี้ พรรคประชาธิปัตย์จึงสร้างมิติใหม่ด้วยการเปิดนโยบายใหม่ๆ อีกหลายประการ เพื่อหวังให้เป็น "หมัดเด็ด" ในการกวาดเก้าอี้ ส.ส.ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อชัยชนะทั้งในระดับพื้นที่และระดับประเทศ

ตั้งรองนายกฯคุมเบ็ดเสร็จ

          นิพนธ์ บุญญามณี แม่ทัพภาคใต้ตอนล่างของประชาธิปัตย์ เปิดเผยกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า นโยบายแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของพรรคในการเลือกตั้งเที่ยวนี้ จะมีทั้งนโยบายด้านความมั่นคงและการพัฒนาควบคู่กันไป

          เริ่มจากนโยบายความมั่นคง จะมีรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่รับผิดชอบการแก้ปัญหาโดยตรงและเบ็ดเสร็จลงไปประจำการในพื้นที่ มีอำนาจสั่งการทุกหน่วยงาน ทั้งทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เพื่อความเป็นเอกภาพในการปฏิบัติ อันเป็นจุดอ่อนของการแก้ปัญหามาเนิ่นนาน

          ในการนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้เตรียมยกร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียบบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อจัดตั้งองค์กรใหม่ที่มีอำนาจเต็มในการจัดการปัญหา โดยทุกหน่วยงานที่รับผิดชอบการปฏิบัติในพื้นที่จะต้องมาขึ้นตรงต่อองค์กรใหม่แห่งนี้

            "เราจะปล่อยให้ กอ.รมน. (กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน) ทำฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะการแก้ปัญหาภาคใต้ต้องระดมกันทุกฝ่าย ไม่ใช่เฉพาะตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง แต่ยังรวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย"

          "ที่ผ่านมา กอ.รมน.มุ่งแก้ปัญหาเฉพาะมิติด้านความมั่นคง และสกัดการก่อเหตุรุนแรง แต่งานด้านการเยียวยาและสมานฉันท์ยังไม่ค่อยมี ขณะที่ผู้รับผิดชอบก็มีแค่ระดับรองปลัดกระทรวงใน ศอ.บต.และแม่ทัพภาคในส่วนของทหารเท่านั้น ซึ่งโครงสร้างแบบนี้รับมือไม่ไหวกับสถานการณ์ปัจจุบัน และนี่เองที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องจัดโครงสร้างองค์กรใหม่สำหรับจัดการปัญหาอย่างยั่งยืน"

วิถีทางการทูตคู่ความมั่นคง

          พร้อมๆ กับการจัดระบบงานด้านความมั่นคงใหม่ นิพนธ์ บอกว่า พรรคยังมีนโยบายให้ใช้วิถีทางทางการทูตกับประเทศเพื่อนบ้านใกล้ชิดอย่างมาเลเซียและอินโดนีเซีย เพื่อสกัดปัญหาความรุนแรงไม่ให้ลุกลามบานปลายออกไปอีกด้วย

และสิ่งสำคัญที่สุดที่จะสนับสนุนงานด้านความมั่นคงให้สำเร็จลุล่วงได้ก็คือ การสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นจริงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ได้

ดันเขต ศก.พิเศษชายแดนใต้

นิพนธ์ กล่าวต่อว่า สำหรับนโยบายด้านการพัฒนานั้น จะประกาศให้จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเขตพัฒนาพิเศษด้านเศรษฐกิจ โดยการให้สิทธิพิเศษทางภาษีกับผู้ประกอบการในพื้นที่ พร้อมกับยกเว้นการหักเงินประกันสังคมในส่วนของนายจ้าง

นอกจากนั้นยังมีโครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ การสร้างศูนย์กลางการผลิตไม้กฤษณา (ไม้หอม) ในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างเพื่อสร้างงานให้กับคนพื้นที่ และพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานเพื่อให้มีศักยภาพในการเพิ่มผลผลิต แก้ปัญหาเศรษฐกิจไปในตัว โดยทุกนโยบายจะยึดวิถีอิสลามเป็นธงนำ รวมทั้งการจัดการศึกษาแบบพิเศษด้วย

ในระดับชุมชน ประชาธิปัตย์ยังมีนโยบายตั้งกองทุนซากาต (เงินบริจาคตามหลักศาสนาอิสลาม) ที่เป็นระบบในทุกหมู่บ้าน และพิจารณาการจัดตั้งศาลชารีอะฮ์เพื่อให้พี่น้องชาวไทยมุสลิมเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้มากกว่าเดิม

ขอเก้าอี้ ส.ส.ไม่น้อยกว่าเดิม

          จากนโยบายใหม่ๆ ที่ประกาศออกไป และการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องของขุนพลพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้ นิพนธ์ มั่นใจว่า ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มี ส.ส.ระบบแบ่งเขตรวมทั้งสิ้น 12 คน เพิ่มจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว 1 คน พรรคประชาธิปัตย์จะกวาดที่นั่งได้ไม่น้อยกว่าเดิม

          "เราคาดว่าจะได้รับความไว้วางใจไม่น้อยกว่าเดิม คือเดิมเราได้ 10 ที่นั่ง คิดว่าครั้งนี้เราจะได้มากกว่าเก่า เพราะพรรคของเรามีความพร้อมที่จะแก้ไขปัญหา และสามารถเริ่มงานได้ทันที เนื่องจากมียุทธศาสตร์ชัดเจนอยู่แล้วทุกด้าน แม้แต่ร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พวกเราก็ยกร่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว"

          และทั้งหมดนี้คือนโยบายบวกกับความมั่นใจของพรรคประชาธิปัตย์ในสนามเลือกตั้งชายแดนใต้ที่ว่ากันว่าจะดุเดือดเลือดพล่านยิ่งกว่าทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา !