Skip to main content

 

สาร
ประธานสภาศาสนสัมพันธ์แห่งประเทศไทย
กรณีปัญหาหิญาบในโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก
 
เรียน พี่น้องชาวไทยและศาสนิกชนทุกศาสนาที่เคารพ
 
ตามที่มีข่าวตามสื่อต่างๆ กรณีการเคลื่อนไหวในกรณีของพี่น้องชาวไทยมุสลิมเกี่ยวกับปัญหาการคลุมหิญาบในโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก และกลายเป็นประเด็นปัญหาที่มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางของกลุ่มและองค์กรต่างๆ ในขณะนี้นั้น ด้วยเกรงว่าปัญหานี้จะลุกลามใหญ่โตกลายเป็นสาเหตุที่อาจจะนำไปสู่ความร้าวฉานในสังคมไทยได้ ข้าพเจ้า ในนามประธานสภาศาสนสัมพันธ์แห่งประเทศไทย ใคร่ขอทำความเข้าใจในเรื่องนี้ด้วยข้อคิดเห็นบางประการดังต่อไปนี้
 
1.    ประเทศไทยเป็นที่ชื่นชมของนานาชาติ โดยเฉพาะประเทศต่างๆ ในโลกมุสลิม ในด้านเสรีภาพในการนับถือศาสนา การเปิดกว้างในด้านความคิดที่หลากหลายของคนในชาติ วัฒนธรรมแห่งความอ่อนโยนละมุนละม่อมระหว่างความแตกต่างท่ามกลางพหุสังคม ซึ่งนับเป็นภาพลักษณ์ที่ดีเลิศในสายตาของคนทั่วโลก ควรค่าแก่การรักษาไว้ให้โดดเด่นและเป็นตัวอย่างที่ทรงคุณค่าในประชาคมนานาชาติสืบไป
 
2.    ในฐานะที่เป็นพหุสังคม คนไทยทุกคนจำเป็นต้องมีการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ สื่อสาร ถ่ายทอด และทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ภายใต้บรรยากาศแห่งกัลยาณมิตรและไมตรีจิต เพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน ในหลักการที่บุคคลต่างกลุ่มวัฒนธรรมเคารพยึดถือซึ่งต่างฝ่ายต่างก็พยายามที่จะดำรงไว้เป็นอัตลักษณ์เฉพาะตน ทั้งในเรื่องปลีกย่อยที่พอจะอนุโลมหรือยืดหยุ่นได้ในกรอบคำสอนของศาสนานั้นๆ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเข้าถึงอย่างถูกต้องที่สุด
 
3.    สังคมมุสลิมในประเทศไทย ในฐานะที่เป็นพลเมืองส่วนหนึ่งของประเทศที่มีความหลากหลาย บรรดาผู้นับถือศาสนาอิสลามควรจะต้องหาวิธีการที่ดีที่สุด ภายใต้บรรยากาศแห่งมิตรภาพ เพื่อหาทางสื่อสารสร้างความเข้าใจให้แก่เพื่อนร่วมชาติต่างศาสนาในเรื่องหลักการต่างๆ ของศาสนาอิสลาม ซึ่งอาจจะเป็นที่เข้าใจผิดหรือเคลือบแคลงสงสัยในสายตาของเพื่อนร่วมชาติ โดยเฉพาะในประเด็นอันเป็นหลักการที่ไม่สามารถจะผ่อนปรนหรือยืดหยุ่นได้ รวมทั้งการทำความเข้าใจในด้านการนำหลักการเหล่านั้นไปปฏิบัติจริง ซึ่งอาจจะมีความเห็นที่แตกต่างกันในบางพื้นที่ ในบางโอกาสและในบางกรณี  
 
4.    กรณีปัญหาหิญาบในโรงเรียนวัดแห่งหนึ่งที่ปรากฏเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ อันเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปนั้น เป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นและปรากฏให้เห็นอีก โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม. ซึ่งนับว่าเป็นตัวอย่างหนึ่งของความขัดแย้ง แต่กรณีดังกล่าวก็นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีในการทบทวนผลในทางปฎิบัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กฎหมายต่างๆ และลักษณะของสังคมไทยที่รองรับและเอื้อต่อการเคารพสิทธิในทางความเชื่อของคนในชาติเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เมื่อดูอย่างผิวเผินแล้ว ความขัดแย้งดังกล่าวไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วก็ชี้ชวนให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย -โดยเฉพาะรัฐบาลและหน่วยงานที่รับผิดชอบอันเป็นที่พึ่งของเหล่าประชา- คำนึงถึงความละเอียดอ่อนของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ว่าควรต้องมีมาตรการเช่นไรจึงจะสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้อย่างถูกต้องและชอบธรรมตามกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยสิทธิเสรีภาพในการปฏิบัติตามหลักคำสอนของแต่ละศาสนา เพื่อที่จะสามารถดำรงไว้ซึ่งแบบอย่างอันดีงามของสังคมไทยในด้านการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างบุคคลที่มีความแตกต่างกันทางด้านศาสนาและวัฒนธรรม
 
5.    การคลุมหิญาบตามหลักการศาสนาอิสลาม ถ้าไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการการแก้ไขปัญหาสังคมในประเทศไทย อย่างน้อยการคลุมหิญาบก็มิได้เป็นสิ่งที่บั่นทอนความมั่นคงของประเทศแต่อย่างใด มิได้เป็นสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนแก่สังคม และมิได้ขัดแย้งกับจริยธรรมอันดีงามของทุกศาสนา ทั้งยังสอดคล้องกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวไทยที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้สตรีสวมอาภรณ์ที่ปกปิดเรือนร่าง และแต่งกายให้เรียบร้อยต่อหน้าสาธารณชน
 
6.    การแก้ปัญหาเรื่องหิญาบในระดับปฏิบัติ ซึ่งถือเป็นหลักคำสอนและบทบัญญัติสำคัญประการหนึ่งของศาสนาอิสลาม ที่ไม่อาจจะผ่อนปรน เพิกเฉย หรือละเลยไม่ปฏิบัติได้ จำเป็นต้องอาศัยการทำความเข้าใจด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์และสร้างสรรค์ แสวงหาเจตนารมณ์หรือคุณค่าของหลักการและนำหลักการมาปฏิบัติบนพื้นฐานของมิตรภาพ ความเห็นอกเห็นใจ ปราศจากความอคติหรือความประสงค์ที่จะเอาชนะ อันเนื่องมาจากความชอบหรือความชังใดๆ ก็ตาม
 
7.    การเห็นไม่ตรงกันในสังคมพหุวัฒนธรรมย่อมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่ก็ไม่ใช่ปัจจัยที่จะนำไปสู่การแตกแยกและขัดแย้งจนไม่อาจที่จะทำความเข้าใจและประสานความร่วมมือระหว่างกันได้ แท้ที่จริงแล้ว แก่นแท้แห่งคำสอนของศาสนาที่คนในชาติของเรานับถือล้วนแล้วแต่มุ่งขจัดอุปสรรคที่ปิดกั้นการดำรงอยู่ของมนุษย์อย่างปรองดอง สันติสุข ทั้งนี้เนื่องจากทุกศาสนาได้มุ่งเน้นด้านการขัดเกลาจิตใจและวางวิถีปฏิบัติให้ผู้ที่นับถือมีความขันติธรรม มีความเอื้ออาทร และเป็นปฏิปักษ์ต่อความอคติ ความเคียดแค้นชิงชัง ความหวาดระแวงซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งบั่นทอนการดำรงอยู่อย่างร่มเย็นของสังคมที่มีความหลากหลาย
 
หวังว่าทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน นักการศาสนาหรือนักวิชาการ จะให้ความร่วมมือที่ดีในการแก้ปัญหาข้างต้น ทุกฝ่ายต่างให้เกียรติซึ่งกันและกันในการปกปักษ์รักษาอิสรภาพแห่งการนับถือศาสนาในสังคมไทยตามสิทธิต่างๆ ที่ได้ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทย และกฎหมายการศึกษา รวมทั้งระเบียบข้อบังคับต่างๆขององค์กรการศึกษา และอื่นๆ เพื่อร่วมกันสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในสังคมไทย
 
ด้วยความปรารถนาดีและบริสุทธิ์ใจ
 
ดร.อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา
ประธานสภาศาสนสัมพันธ์แห่งประเทศไทย (IRC)
วันที่ 10 พฤษภาคม 2554