Skip to main content

ไชยยงค์ มณีพิลึก

เหตุวางระเบิด เจ้าอาวาสและพระลูกวัดสวนแก้ว ที่หมู่ 8 ต.บาโร๊ะ อ.ยะหา จ.ยะลา จนถึงแก่มรณาภาพทั้ง 2 รูป ในขณะที่ออกบิณฑบาตรโปรดสัตว์ ตามวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ ตอบโจทย์การก่อการร้ายที่ดำรงมายาวนานกว่า 7 ปี ได้ 2 ประเด็นด้วยกัน

ประเด็นแรก ขบวนการแบ่งแยกดินแดน ที่นำโดยขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ยังมี”เข็มมุ่ง” ต่อบุคคลที่เป็น”สัญลักษณ์” ของศาสนา เพื่อหวังผลสร้างความโกรธแค้นแก่ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ เพื่อใช้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็น”ชนวน” ในการจุดไฟการก่อการร้ายเป็นไฟสงครามศาสนา ระหว่างผู้ที่นับถือศาสนาต่างกันในพื้นที่ ซึ่ง “บีอาร์เอ็นฯ” พยายาม ครั้งแล้วครั้งเล่า มีพระสงฆ์ เสียชีวิต และ บาดเจ็บ ใน 7 ปี กว่า 10 รูป แต่ไฟ สงครามศาสนา ยังจุดไม่สำเร็จ

ประเด็นที่สอง การกระทำต่อพระสงฆ์ทั้ง 2 รูป ในครั้งนี้ เป็นการ”ล้างแค้น” ของ “แนวร่วม” ในพื้นที่ จ.ยะลา ซึ่งสืบเนื่องมาจากการที่คน”มีสี”ในพื้นที่ จ.ยะลา ใช้อาวุธสงคราม กราดยิงใส่ร้านน้ำชา และร้านของชำ ในพื้นที่ บ้านกาโสด อ.บันนังสตา จ.ยะลา ทำให้มีผู้บริสุทธิ ทั้งเด็ก สตรี คนชรา ที่เป็นชาวมุสลิม เสียชีวิต 4 ศพ และบาดเจ็บอีกหลายราย และหลังเกิดเหตุเพียง 2 วัน ก็มีการ ตอบโต้ จากแนวร่วมในพื้นที่ ด้วยการ ฆ่าแล้วเผา สองผัวเมียชาวไทยพุทธ ห่างจากร้านน้ำชา ที่เกิดเหตุเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

และ ตามด้วยการวางระเบิดรถยนต์ เจ้าหน้าที่ทหารที่กำลังลาดตระเวนเส้นทางที่ อ.รามัน จ.ยะลา เป็นเหตุให้ ทหารเสียชีวิต 3 ศพ พร้อมๆ กับที่ ตำรวจ สภ.กระพ้อ จ.ปัตตานี ถูกวางระเบิดแบบเดียวกัน เสียชีวิตอีก 4 ศพ ในขณะที่เตรียมตัวเพื่อลงแข่งขันฟุตบอล เชื่อมความสัมพันธ์กับภาคประชาชนในพื้นที่

ในขณะที่ หน่วยข่าวความมั่นคง ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ต่างให้น้ำหนักว่า การก่อการร้าย ที่รุนแรง และถี่ๆ ขึ้น หลังเกิดเหตุการณ์คน”มีสี” ยิงถล่มร้านน้ำชาที่บ้านกาโสด อ.บันนังตา คือ สาเหตุใหญ่ ที่เป็นที่มา ของการก่อความไม่สงบ ทั้งใน จ.ยะลา และที่ จ.ปัตตานี เนื่องจากการ ก่อความไม่สงบ โดยมีเป้าหมายที่ ทหาร ตำรวจ พระ และประชาชน เป็นการตอบโต้ การกระทำที่ บ้านกาโสด ซึ่งเป็นการ แก้แค้น และ”เอาคืน” ที่ หน่วยงานของรัฐ ปฏิเสธความรับผิดชอบ และ”บิดเบือน” ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น

เพราะ หลังเกิดเหตุที่บ้านกาโสด หน่วยงานของรัฐทุกส่วน โดยเฉพาะตำรวจ มีพยาน หลักฐาน ที่ชัดเจนว่า ผู้ปฏิบัติการโหดต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นใคร เป็นคน”มีสี” สังกัดหน่วยงานไหนในพื้นที่ ซึ่งเป็นการรู้ที่เหมือนๆ กับที่ชาวบ้านในพื้นที่รู้และเห็น รวมทั้งมีสาเหตุชัดเจนว่า เป็นการ”แก้แค้น”ส่วนตัว แต่หลังเกิดเหตุ นอกจากตำรวจ จะไม่สามารถทำในสิ่งที่ต้องการได้แล้ว หน่วยงานต้นสังกัดยังให้ข่าว”บิดเบือน” ถึงสาเหตุ และข้อเท็จจริง ที่เกิดขึ้น กับ”สื่อ”ของรัฐอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งพยายามใช้สือ”สิ่งพิมพ์” เป็นเครื่องมือ เพื่อการ”บิดเบือน”อีกด้วย

ประเด็นการที่หน่วยงานของรัฐ”บิดเบือน” ข้อเท็จจริง คือประเด็นที่ทำให้เกิดความผิดพลาดอย่างรุนแรง เนื่องจากเป็นการ”เพาะ” ความแค้นให้เกิดขึ้นกับผู้คนในพื้นที่ และความคับแค้นเหล่านี้ถูก ส่งผ่าน ไปยังคนที่อยู่ใน”ศาสนิก” เดียวกันทั้งประเทศ และทั้งโลกอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นความ”ชอบธรรม” ให้ขบวนการ”บีอาร์เอ็นฯ”นำมาปลุกเร้า ปลุกระดม โฆษณาชวนเชื่อ ให้มีการ”เอาคืน” กับเหยื่อผู้บริสุทธิ์ เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับ ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ที่ร้านน้ำชา ที่บ้านกาโสด อ.บันนังสตา นั่นเอง

ความจริงเหตุการณ์อย่างนี้ เคยเกิดขึ้นที่มัสยิดอัลฟุรกอน อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ที่ อส.ทพ.คนหนึ่ง ลุแก่โทษะ บุกเข้าไปกราดยิงผู้คนในมัสยิดดังกล่าว จนมีผู้ที่อยู่ระหว่างปฏิบัติศาสนากิจตายหมู่กว่า 10 ศพ และบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง และหลังเกิดเหตุ หน่วยงานของรัฐ ก็พยายาม”บิดเบือน” ไม่รับความจริง จนเหตุการณ์บานปลายมีการเรียกร้อง มีการออกมาชุมนุม จนท้ายที่สุด กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องรับความจริง และให้ตำรวจ สืบสวนสอบสวน จับกุมกลุ่มผู้ก่อเหตุ พร้อมทั้งฝ่ายปกครองเข้าไป “เยียวยา” ครอบครัวผู้สูญเสีย และยอมรับความจริงกับสังคมส่วนรวม ซึ่งเมื่อมีการยอมรับความจริง ความรุนแรงและเลวร้าย ก็สามารถ”ยุติ” ลงได้ด้วยดี

แต่เป็นเพราะภาครัฐ โดยเฉพาะ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ไม่เคย”ซึมซับ” และสรุป บทเรียน ที่เกิดขึ้น เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาความรุนแรง ความไม่เข้าใจระหว่างกัน ให้เป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหา เหตุการณ์ที่บ่านกาโสด จึงถูก”บ่มเพาะ” จากความไม่พอใจ จนกลายเป็นความ”คับแค้น” จากครอบครัวเพียงไม่กี่ครอบครัว ถูก”กระพือ”ไปสู่สังคม จนกลายเป็น”ประโยชน์” ทางการเมืองให้”บีอาร์เอ็นฯ” หยิบฉวย เป็นเครื่องมือ เพื่อตอบโต้ อำนาจรัฐ

ถ้า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า มีความชาญฉลาดอยู่บ้าง หลังเกิดเหตุที่บ้านกาโสด และตำรวจสรุปผลการสืบสวนสอบสวนให้ฟังอย่างชัดเจนว่ากลุ่มคนใด เป็นผู้ปฏิบัติการโฉด กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องดำเนินการรับผิดต่อประชาชน ที่ปล่อยให้เกิดเหตุการนี้ขึ้น ต้องรีบนำตัวผู้ก่อเหตุมามอบตัว และเยียวยา ครอบครัวผู้เสียหาย ซึ่งถ้ามีการยอมรับความจริง ยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เชื่อว่า สถานการณ์ จะคลี่คลายไปในทางที่ดีและผู้เสียหายยอมรับได้ เพราะ ณ สังคมความก้าวของของการสื่อสารในยุคปัจจุบัน เราไม่สามารถ”ปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ” ได้อีกต่อไป

แต่เมื่อ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าที่ ไม่เชื่อบทสรุปของตำรวจ ไม่ยอมรับความจริง และเลือกที่จะใช้”สื่อรัฐ” ในการ”บิดเบือน” ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น จึงเกิด ปฏิกิริยา ของการ สาดน้ำมันเข้ากองไฟ ปฏิบัติการ”ฆ่าเพื่อระงับการฆ่า” จึงเกิดขึ้น อย่างที่เห็น และเป็นอยู่

และคงจะสรุปเป็นคำถามว่า ณ วันนี้ “ยุทธศาสตร์” และ “ยุทธวิธี”ที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ใช้ในการแก้ไขความไม่สงบ เพื่อยุติการก่อการร้าย ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นการเพิ่มความขัดแย้ง เพิ่มความโกรธเกลียด และ คับแค้น ให้กับคนในพื้นที่ หรือ เป็นการนำพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไปสู่ความสงบสุขกันแน่