เผยแพร่วันที่ 20 มิถุนายน 2554
เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
Human Rights Lawyers Association (HRLA)
คดีนักศึกษายะลาถูกซ้อมทรมาน
ศาลปกครองกำหนดวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริง
ทนายความจัดส่งรายงานนิติจิตเวชศาสตร์ประกอบคำฟ้อง
ยืนยันเหยื่อได้รับผลกระทบทั้งร่างกายและจิตใจ
ในวันที่ 20 มิถุนายน 2554 ศาลปกครองสงขลากำหนดเป็นวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริงในคดีหมายเลขดำที่ 187 ,188 / 2552 ที่นายอิสมาแอ เตะ ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และนายอามีซี มานาก ผู้ฟ้องคดีที่ 2 ยื่นฟ้องกองทัพบกและกระทรวงกลาโหม เป็นผู้ถูกฟ้องคดี ทนายความได้นำส่งรายงานการแพทย์ ซึ่งเป็นรายงานผลการตรวจสภาพร่างกายและจิตใจของนายอิสมาแอ เต๊ะ ผู้ร้องที่ 1 เพื่อยืนยันความเสียหายต่อร่างกายและจิตใจของเหยื่อที่ถูกซ้อมทำร้ายร่างกายและทรมานเพื่อให้รับสารภาพในเหตุการณ์ก่อความไม่สงบ ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 2 เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดยะลา ทำกิจกรรมนักศึกษาในช่วงปี 2550-2551 แต่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยแลถูกตรวจค้นบ้านพัก ถูกควบคุมตัวตามกฎอัยการศึก ต่อมาได้รับการปล่อยตัวและไม่เคยถูกตั้งข้อหาในคดีอาญาแต่อย่างใด
คดีนี้เป็นคดีแรกที่เหยื่อผู้ถูกควบคุมตัวและซ้อมทรมานตามอำนาจของกฎอัยการศึกในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ใช้สิทธิทางศาลในการฟ้องคดีเพื่อให้หน่วยงานรัฐ (กองทัพบกและกระทรวงกลาโหม) รับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ซึ่งอยู่ในสังกัดของตนที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 โดยยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2552 และต่อมาศาลแพ่งได้โอนคดีไปศาลปกครองสงขลา เนื่องจากการใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกอยู่ในอำนาจศาลปกครอง ศาลได้แสวงหาข้อเท็จจริงทั้งจากผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีเป็นเวลากว่า2 ปี
การทรมานถือเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงในทางสากล เนื่องจากเป็นการกระทำโดยผู้มีอำนาจบังคับใช้กฎหมาย หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ รูปแบบการทรมานในปัจจุบันมักไม่ปรากฏร่องรอยทางร่างกาย ทำให้เป็นปัญหาในทางคดีที่ไม่สามารถพิสูจน์ความเสียหายจนไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากการละเมิดได้ อย่างไรก็ตาม เหยื่อการทรมานที่ผ่านสภาพเลวร้ายจากการทรมาน แม้จะไม่ปรากฏร่องรอบทางร่างกาย แต่มีปรากฏร่องรอยผลกระทบทางจิตใจคงอยู่ยาวนาน ดังนั้น ปัญหาผลกระทบจากการทรมานในลักษณะดังกล่าวจึงถูกคลี่คลายลงด้วยการตรวจสอบผลกระทบทางจิตใจจากการผ่านเหตุการณ์เลวร้ายโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ในคดีนี้ นายอิสมาแอได้รับการตรวจร่างกายและผลกระทบทางจิตใจหลังผ่านเหตุการณ์เลวร้าย (Post-traumatic stress disorder) หรือ PTSD และจัดทำเป็นรายงานทางการแพทย์โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความเป็นอิสระ 2 ท่านที่เป็นสมาชิกของสภาเพื่อฟื้นฟูผู้ถูกทรมานระหว่างประเทศ (International Rehabilitation Council for torture victims)หรือ IRCT ซึ่งเป็นองค์กรที่ตั้งอยู่ที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก และมีวัตถุประสงค์ในการปฏิบัติงานเพื่อส่งเสริมความเข้าใจและพัฒนาการทำงานด้านนิติวิทยาศาสตร์และนิติจิตเวชศาสตร์ต่อเหยื่อที่ถูกซ้อมทรมานทั่วโลกภายใต้พิธีสารอิสตันบูล ซึ่งเป็นคู่มือสืบสวนสอบสวนและบันทึกข้อมูลหลักฐานอย่างมีประสิทธิภาพกรณีการทรมานหรือการลงโทษอื่นๆ ที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี (Istanbul Protocol: Manual on the Effective Investigation and Documentation of Torture and other cruel, Inhuman or Degrading Treatment of Punishment) หรือที่เรียกว่าพิธีสารอิสตันบูล เป็นหลักการมาตรฐานสากลในการบันทึกรวบรวมพยานหลักฐานกรณีการทรมานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นแนวทางให้ความช่วยเหลือคุ้มครองและเยียวยาเหยื่อผู้เสียหายจากการถูกซ้อมทรมานอย่างมีประสิทธิภาพ
กลไกการคุ้มครองและป้องกันการซ้อมทรมานในระดับสากลจะช่วยลดช่องว่างและข้อบกพร่องในการสืบสวนสอบสวนกรณีการซ้อมทรมานในประเทศไทย และในขณะที่ PTSD ยังไม่ได้ถูกนำมาพัฒนาใช้ในการพิจารณาให้การช่วยเหลือเยียวยาเหยื่อการทรมาน แต่เป็นพยานหลักฐานสำคัญในคดีที่จะสามารถยืนยันความร้ายแรงของการทรมานที่ส่งผลกระทบทางจิตใจของเหยื่ออย่างยาวนานมากกว่าอาการบาดเจ็บทางร่างกาย ส่งผลให้เหยื่อการทรมานไม่สามารถได้รับการเยียวยาหรือชดใช้ค่าเสียหายอย่างเป็นธรรม และยังส่งผลให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ตามอำเภอใจเนื่องจากไม่ถูกลงโทษจากความผิดที่ตนกระทำ และหน่วยงานผู้บังคับบัญชาอาจละเลยไม่กำกับดูแลจนหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนภายใต้สถานการณ์ความไม่สงบยิ่งลดน้อยและถูกทำลายลง
คดีนี้จึงเป็นคดีแรกที่มีการยื่นรายงานทางการแพทย์จากการทรมานเพื่อประกอบการพิจารณาของศาลและเป็นแนวทางในการกำหนดมาตรการเยียวยาความเสียหายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 32 ซึ่งบัญญัติถึงสิทธิของบุคคลที่จะไม่ถูกทรมานและสิทธิที่จะได้รับการเยียวยาอย่างเหมาะสม[1] ต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อไป
การทรมาน ทารุณกรรม หรือการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรม จะกระทำมิได้แต่การลงโทษตามคำพิพากษาของศาลหรือตามที่กฎหมายบัญญัติไม่ถือว่าเป็นการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรมตามความในวรรคนี้
การจับและการคุมขังบุคคล จะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาลหรือมีเหตุอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ
การค้นตัวบุคคลหรือการกระทำใดอันกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง จะกระทำมิได้เว้นแต่มีเหตุตามที่กฎหมายบัญญัติ
ในกรณีที่มีการกระทำซึ่งกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง ผู้เสียหาย พนักงานอัยการหรือบุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์ของผู้เสียหาย มีสิทธิร้องต่อศาลเพื่อให้สั่งระงับหรือเพิกถอนการกระทำเช่นว่านั้น รวมทั้งจะกำหนดวิธีการตามสมควรหรือการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วยก็ได้