Skip to main content

ไชยยงค์ มณพิลึก

ระเบิด”คาร์บอมบ์”และ “จยย.บอมบ์” 3 จุด ในเวลาเดียวกันที่เทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 รายและบาดเจ็บ 60 กว่าชีวิต เป็นเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นการ ยืนยัน ข้อเท็จจริงกับ สังคม และกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีให้รับรู้ว่า

1 สถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของ ขบวนการแบ่งแยกดินแดน โดย”แนวร่วม”ของขบวนการ ยังสามารถกำหนด”เป้า” ในการโจมตี และการก่อวินาศกรรม ในทุกพื้นที่ ตามที่ต้องการ เพราะก่อนหน้านี้เพียง 1 วัน”แนวร่วม”ขบวนการแบ่งแยกดินแดน ได้นำระเบิดไปก่อวินาศกรรม สภ.ปะลุกาสาเมาะ จนพังทลาย มีการโจมตีฐานทหารที่ อ.เจาะไอร้อง มีการกราดยิงชาวบ้านในร้านน้ำชา ที่ อ.ระแงะ ซึ่งทั้งหมดอยู่ในพื้นที่ จ.นราธิวาส ในขณะที่ใน จ.ปัตตานี มีการโจมตีทหารพราน ที่ อ.กระพ้อ จนเสียชีวิต 5 ศพ และยึดอาวุปปืนไป 6 กระบอก ส่วนที่ จ.ยะลา”แนวร่วม” บุกเข้าไปยิง ตำรวจ และ อส.ในมัสยิด เสียชีวิต 2 ศพ กลางเมืองยะลา ท่ามกลางสายตาของผู้คนนับร้อย ทั้งหมดเกิดขึ้นติดกันภายใน 3 วัน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 13 ราย บาดเจ็บ 70 คน

2 เป็นการบอกให้รู้ว่า ปฏิบัติการด้านป้องกันชีวิต และ ทรพย์สิน ของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยภายใต้การควบคุมทาง”ยุทธการ” ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยังไม่สามารถทำได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการ รักษาความสงบ ความปลอดภัยในเขตเมือง หรือ นอกเขตเมือง

3 เป็นการบอกให้รู้ว่า นอกจาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จะล้มเหลวในการควบคุมทาง”ยุทธการ” แล้ว กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และหน่วยงานต่างๆที่มีหน้าที่”การข่าว”ในพื้นที่ทุกหน่วย ตั้งแต่ ทหาร ตำรวจ ปกครอง สันติบาล ข่าวกรองสำนักนายก และ อื่นๆ อีกมาก ยังคงล้มเหลวในงาน”การข่าว” เพราะไม่มีแม้แต่หน่วยงานเดียว ที่ระแคะระคาย และ แจ้งเตือนว่า “แนวร่วม” จะก่อวินาศกรรมในเขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก

โดยข้อเท็จจริง ยุทธวิธี หรือ ปฏิบัติการของ”แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน นับตั้งแต่เกิดความรุนแรงครั้งใหม่ เมื่อปี 2547 เป็นต้นมา ยังใช้วิธีการเดิมๆ เกือบทั้งสิ้น เช่น  เกาะตามหลังเจ้าหน้าที่รัฐ ที่นำกำลังออกลาดตระเวนเพื่อรอโอกาสโจมตี การขุดหลุมวางระเบิดบนถนนเพื่อ ก่อวินาศกรรม รถยนต์ของเจ้าหน้าที่  นำระเบิดไปซุกซ่อนในสถานที่ซึ่งเป็นเป้าหมายเพื่อก่อวินาศกรรม ยิงชาวบ้าน หรือสร้างสถานการณ์ต่างๆ เพื่อรอเจ้าหน้าที่เข้าไปพิสูจน์ทราบ  และวางกับระเบิดดักสังหาร  ขับรถ จยย.ประกบยิง หรือพรางตัวเป็นชาวบ้าน เพื่อ สังหาร เจ้าหน้าที่ในชุมชน และ ศาสนาสถาน และ สุดท้าย คือประกอบระเบิดเป็น”คาร์บอมบ์” หรือ”จยย.บอมบ์” เพื่อ ก่อวินาศกรรมในจุดที่ เป็นย่านเศรษฐกิจของท้องถิ่น และสถานที่ซึ่งเป็น”สัญลักษณ์” ของรัฐไทย ยุทธวิธี หรือ ปฏิบัติการของ”บีอาร์เอ็นฯ” มีอยู่แค่นี้เอง

และหากสังเกตุให้ดี ระเบิดที่ใช้เป็นระบบ”โลเท็ค” คือล้าหลัง และเป็นแบบเดิมๆ คือใส่ในถังดับเพลิง บรรจุในถังแก๊ส หรือ กล่องเหล็ก จุดชนวนด้วยโทรศัทพ์มือถือ “ รีโมทฯ, นาฟิกา และสุดท้ายเป็นระเบิดแบบเหยียบ เช่นเดียวกับครั้งที่ เจ้าหน้าที่ทำสงครามกับ โจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายาใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อ 30 ปีที่แล้ว เพียงแต่ วิธีการจุดระเบิดอาจจะซับซ้อนมากขึ้น เช่นในระเบิดแต่ละลูก อาจจะมีการใช้การจุดระเบิด 2-3 ชนิด เพื่อหวังผลให้ระเบิดทำงานให้ได้เท่านั้น การทำระเบิด และการวางระเบิดของ”แนวร่วม”ยังไม่มีอะไรที่ทันสมัย ดังนั้น ระเบิดที่”แนวร่วม”ใช้ จึงไม่มีอนุภาพร้ายแรง เหมือนกับระเบิด ที่ กลุ่มก่อการร้ายใช้ในประเทศต่างๆ ที่มีการก่อการร้าย

คำถามที่ค้างคาใจคนในพื้นที่ ซึ่ง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าต้องตอบคือ ปฏิบัติการเดิมๆ ซ้ำๆ ของ”แนวร่วม”ในพื้นที่ ทำไมหน่วยรบของกองทัพในพื้นที่ จึงไม่สามารถป้องกันได้  เพราะความสูญเสียส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นคือ การเข้าไปพิสูจน์ทราบ และถูกกับระเบิดของเจ้าหน้าที่ ยังปรากฎเป็นข่าวทุกวัน   เจ้าหน้าที่”ประมาท” หรือ ประเมินสถานการณ์ไม่เป็น  กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า มีนายทหาร”เสนาธิการ”อยู่เป็นจำนวนมาก เสนาธิการเหล่านั้น  มีขีดความสามารถน้อยกว่า เสนาธิการ ของ “บีอาร์เอ็นฯ” หรืออย่างไร จึงไม่สามารถ มีเปรียบ ต่อยุทธวิธีสงคราม”กองโจร”ในพื้นที่    การรบในพื้นที่ กำลังของกองทัพ จึง”เพลี่ยงพล้ำ”ต่อ”แนวร่วม”แบบ”ยะย่ายพ่ายจะแจ”มาโดยตลอด ทั้งที่ทุกอย่างของเราเหนือกว่า  ไม่ว่าจะเป็น กำลังพล  อาวุธยุทโธปกรณ์ และ”งบประมาณ” หรือสิ่งหนึ่งที่เราไม่มีคือความคิดที่จะเอาชนะ เพราะเรารบด้วย”หน้าที่” แต่ไม่ได้รบด้วยความ”ตั้งใจ” และ”จริงใจ” หรือ เรามีนายทหารระดับ”นักรบ” ที่เป็นเพียงนักรบ”ประชาสัมพันธ์ “ นักรบ”โฆษณาชวนเชื่อ” และเป็นนักรบ”เพาเวอร์พอยท์” ที่อยู่ในห้องปรับอากาศ มากกว่าไปสูดกลิ่นอาย และดูสถานการณ์ของสงครามประชาชนที่แท้จริงในพื้นที่

และถ้านับความสูญเสียของกำลังพลในพื้นที่การสู้รบ จะพบว่าผู้ที่สูญเสียมากที่สุดของกองทัพ จะเป็นพลทหารหรือ”ไอ้เณร” หรือ ทหารเกณฑ์ รองลงมาคือ ทหารพราน และ อาสาสมัคร และกำลังที่ใช้มากที่สุดในสนามคือ ทหารเกณฑ์ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจของการ”เพลี่ยงพล้ำ”ในแต่ละครั้ง เพราะทหารเกณฑ์เหล่านั้น ฝึกยุทธวิธีแค่ 3 เดือน ความเชี่ยวชาญในการรบจึงไม่มีเท่ากับ ทหารอาชีพ และสิ่งสำคัญที่สุดคือ ทหารเกณฑ์ ส่วนใหญ่ คิดเพียงอย่างเดียวว่า เมื่อไหร่จะปลดประจำการ  พวก เขามาทำหน้าที่รับใช้ชาติตามที่”กฎหมาย”บังคับเท่านั้น   เขาไม่ได้สมัครใจที่จะมา”พลีชีพ”เพื่อ”มาตุภูมิ” และเขาได้รับค่าตอบแทนในการ”ขาย”ชีวิตเพียงน้อยนิดเท่านั้น  เช่นเดียวกับ”ทหารพราน” และ”อาสาสมัคร” ที่ส่วนหนึ่งมาทำหน้าที่เพราะ ไม่มีงานทำ และส่วนหนึ่งมาเพราะต้องการ”เครื่องแบบ” และ”อาวุธ” เป็น เกราะ ป้องกันตนเองจาก”ศัตรู” และ ทหารพราน ใน พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้  ขีดความสามารถที่มี ไม่เหมือนกับ ทหารพรานจาก”ปักธงชัย”ในอดีต ความสามารถทาง”ยุทธวิธี”จึงต่างกันอย่างสิ้นเชิง และ ในกรณีนี้ มีผู้ตั้งข้อสงสัยว่า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าที่ ต้องการให้ กำลังที่ไม่ใช่”ประจำการ”เหล่านี้ไป”ตายแทน”เพื่อป้องกันความสูญเสียของกำลังหลักหรือไม่

และสุดท้ายงาน”การข่าว” คือสิ่งที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องปรับปรุง เพราะงาน”การข่าว”คือ”หัวใจ”ของการรู้รบ
 
ถ้างานการข่าวล้มเหลว หมายถึงความพ่ายแพ้ในทุกสถานการณ์ ที่ผ่านมา”การข่าว”ของทุกหน่วยงาน เป็นการทำงานแบบ”คาดการณ์ “ในขณะที่ นักการข่าวจำนวนไม่น้อยทำการข่าวแบบ”จินตนาการ” ข่าวที่ได้จากการ”เกาะติด”ความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม และการเข้าถึง”แหล่งข่าว” ที่รู้ความเคลื่อนไหว รู้ความลับของฝ่ายตรงข้าม ยังทำไม่ได้ หลายครั้งที่ เจ้าหน้าที่ประสพความสำเร็วในการ “ปิดล้อม”และ”จับตาย” มาจากการใช้เงิน” ซื้อ” คนของฝ่ายตรงข้ามซึ่งซื้อได้เพียงครั้งเดียวก็หมดความหมายในทันที สาเหตุของความ”ล้มเหลว”ของการการข่าว เกิดจาก”เงินไม่ถึง” และ”มือไม่ถึง” เพราะเงินในการทำการข่าวจำนวนมาก ไม่ถึงมือของนัก”การข่าว” แต่ไปอยู่ในมือของ กลุ่มคนเพียงไม่กี่คนที่ เสวยสุข กับเงินที่เป็น”งบลับ”และงบ”การข่าว” เจ้าหน้าที่การข่าวที่”มือถึง” ไม่มีเงินในมือ  งานการข่าวจึงอยู่ในมือของนักการข่าวที่”มือไม่ถึง” ที่มีหน้าที่ต้องทำ การข่าวที่รายงานกันในแต่ละวันจึงเป็นข่าว”พื้นๆ” ซึ่งเป็นลักษณะ”คาดการณ์” และ”จินตนาการ” นั่นเอง

สงครามประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ถ้ารัฐบาลต้องการเอาชนะต่อขบวนการแบ่งแยกดินแดน    รัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับงานการข่าว สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ  สันติบาล หน่วยข่าวต่างๆ ทั้งของ กองทัพเรือ กองทัพอากาศ กองทัพบก หน่วยข่าวกรองสำนักนายกฯ ซึ่งเป็นหน่วยงาน”ส่วนกลาง” ต้องมีการ”ยกเครื่อง”กันใหม่ทั้งหมด ต้อง”บูรณาการ” ในเรื่องของ”การข่าว” อย่างเป็นจริง ไม่ใช่”บูรณาการ” ตามรูปแบบราชการ แต่โดยข้อเท็จจริง แยกหน่วยกันทำ และทำแบบไร้ประสิทธิภาพ รวมทั้งหน่วยงานในพื้นที่ เช่น ศอ.บต. ต้องมีหน่วยงานการข่าวของตนเอง เช่นเดียวกับ จังหวัด อำเภอ จนถึงหน่วยงานในตำบล ต้องมีหน่วยข่าว และงานการข่าวที่มีประสิทธิภาพต้องมี”งบประมาณ”ที่ให้นักการข่าว ทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพได้ แต้ถ้าตราบใดที่ หน่วยงานความมั่นคง ต้องการข่าวดี แต่จ่ายเงินเดือนแค่ 4,500 บาท เชื่อเถอะว่า สถานการณ์การก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังเป็นข่าว”รายวัน” ต่อไปอีกยาวนาน และ

และสุดท้ายถ้างาน”การข่าว” ยังไม่มีการปรับปรุง และไม่ให้ความสำคัญ ต่อให้รัฐบาลเพิ่งงบประมาณให้ กองทัพ อีกกี่แสนล้าน หรือส่งเงินให้ ศอ.บต.ใช้ในการ”ยุติ” ปัญหาความไม่สงบอีกกี่หมื่นล้าน ก็เหมือนกับการ”ตักน้ำใส่ทะเล” จะไม่เห็นปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นให้เห็น  แต่ที่เห็นชัดเจนคือความสูญเสียของประชาชน และความสูญเสียของพื้นที่ 4 จังหวัด และท่ามกลางความสูญเสียที่ประเมินเป็นตัวเลขไม่ได้นั้น หากมองให้ชัด ก็จะเห็นกลุ่มคนที่ได้ผลประโยชน์บนความสูญเสียทั้งหมด ซึ่งเป็นขบวนการ “ค้าสงคราม” และ”ค้ากำไร” บนความ”หายนะ”ของประเทศชาติ และ”ประชาชน”ในจังหวัดชายแดนภาคใต้