Skip to main content

ไลลา เจะซู
 
 
“แม่จ๋า พ่ออยู่ไหน ทำไมไม่กลับมา ? ทำไมพ่อไม่มารับหนูที่โรงเรียนเหมือนเพื่อนๆ ”............
 
เสียงสะท้อนจาก รุสดา สะเด็ง เลขาธิการสมาคมสตรีจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อสันติภาพ (Deep peace) สะท้อนสิ่งที่ตนได้รับรู้จากการลงพื้นที่เยียวยาลูกผู้ต้องขังคดีความมั่นคงและกลุ่มผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายพิเศษ อันเนื่องมาจากความขัดแย้งระหว่างรัฐไทยและขบวนการ BRN
 
ทุกครั้งที่เราพูดถึงผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายพิเศษในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาสและสงขลา  เรามักนึกถึง “ผู้ชาย” ผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะเป็นสิ่งที่เราเห็นชัดว่า ผู้ชายเหล่านั้นไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างไรบ้าง
 
 เพราะความพิเศษของ พรก. ได้อนุญาตและให้อำนาจเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงซักถามโดยไม่ต้องมีหมายเรียก  ควบคุมตัวโดยไม่ต้องแจ้งข้อกล่าวหา  ค้นบ้านโดยไม่ต้องมีหมายศาล สอบสวนได้เพียงแค่สงสัยว่า น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่รัฐไทยมองว่า  เป็นภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ  ฯลฯ
 
แต่สิ่งที่เราได้เห็นและสัมผัสได้จากแววตาของผู้หญิงในฐานะ “ภรรยา” และ “แม่”  คือ กังวลกับความพิเศษของ พรก.ฯ จาก “คนข้างหลังผู้ชายที่ถูกจับ”
 
หญิงในฐานะ “ภรรยา” และ “แม่” ผู้ต้องผันตนเองเป็นเสาหลักของครอบครัว หลังจากสามีถูกจองจำ
 
สามีฉันจะถูกพาไปไหน จะโดนอะไรบ้าง จะโดนซ้อมทรมานเหมือนกรณีที่ผ่านๆ  มาหรือเปล่า จะหนักหนาสาหัสถึงขั้นเสียชีวิตระหว่างถูกสอบสวนเหมือนสุไลมาน แนแซ มั๊ย ล้วนเป็นข้อกังวลของผู้เป็นภรรยา หลังจากสามีของตนเองถูกทหารและตำรวจเข้าปิดล้อมตรวจค้นบ้าน   โดยไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาใดๆ  พร้อมกับการเอาปืนจ่อหัวและบังคับให้เดินขึ้นรถด้วยความจำใจ .....
 
ต้องใช้เวลาอีกกี่ปี กว่าจะพิสูจน์ได้ว่า  สามีของตนบริสุทธิ์......อีกนานแค่ไหนกว่าที่เขาจะได้รับอิสรภาพ  เพราะหลายๆ คดีที่ผ่านมา  ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าที่ศาลจะยกฟ้อง  ด้วยคำตัดสินที่ว่า  ยกประโยชน์ให้จำเลย  เพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอ .... เหล่านี้  ล้วนเป็นข้อกังวลของผู้เป็นภรรยาเมื่อระยะเวลาผ่านพ้น 30 วัน และสถานะสามีได้ถูกเปลี่ยนจาก “ผู้ต้องสงสัย” เป็น “ผู้ต้องหา”  ตามกระบวนการยุติธรรม
 
เราเคยคิดไหมว่า ข้อหาความมั่นคง  ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากน้อยแค่ไหน  เพียงเพื่อแลกกับศักดิ์ศรีความเป็นคนของคนๆ  หนึ่ง  บางคนต้องทุ่มหมดหน้าตัก เพียงเพื่อให้สามีได้รับการประกันตัว  แม้จะรู้ดีว่า มันเป็นเพียง “การซื้ออิสรภาพ”  ชั่วคราวแค่ข้ามคืน
 
เราเคยรู้บ้างไหมว่า  หลายคนต้องแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง   แม้จิตใจจะบอบช้ำมากเพียงใด  เพียงเพื่อให้ลูกๆ  สามารถเติบโตและมีชีวิตอยู่ต่อไปได้  อย่างไม่ย่อท้อและสิ้นหวัง
 
เราเคยเห็นบ้างไหมว่า ผู้หญิงหลายคนต้องผันตนเองมาเป็นเสาหลักและที่พึ่งของครอบครัวแทนสามี  ให้รอดจากการอดอยากหิวโหย  เพื่อเลี้ยงดูลูกๆ ให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพโดยลำพัง  ด้วยสองมือและแรงกายของตนเอง 
 
เราเคยเข้าใจไหมว่า  ความเจ็บปวดของผู้เป็นแม่มันหนักหนาสาหัสเพียงใด  กับการที่ต้องตอบคำเดิม ซ้ำๆ ว่า   “แม่จ๋า พ่ออยู่ไหน ทำไมไม่กลับมา ? ทำไมพ่อไม่มารับหนูที่โรงเรียนเหมือนเพื่อนๆ ฯลฯ ”
 
เพียงแค่นึกถึงภาระที่หนักอึ้ง  ผู้หญิงเหล่านั้นกลับไม่มีสิทธิแม้จะเรียกร้องความเห็นใจจากรัฐไทยหรือใครๆ สิ่งเดียวที่เขาอาจทำได้ยามที่ใจท้อแท้และสิ้นหวัง คือ  การแอบไปร้องไห้คนเดียวทุกคน
 
ความเจ็บปวดแค่นี้  มากเกินพอไหม.........สำหรับคนๆ หนึ่งที่ต้องเป็นทั้ง “ภรรยา” “แม่” และ “พ่อ”ในคราวเดียวกัน  ภายใต้ความพิเศษของ พรก.ฉุกเฉิน 
 
และเหตุผลแค่นี้   เพียงพอไหม.....ที่พวกเขาจะเรียกร้องให้เอา พรก. ออกไปจากบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง
 
เอา พรก.ออกไป   คืนเสรีภาพให้ประชาชน