Skip to main content

วันนี้วันที่ 8 ธันวาคม 2554

หลายคนคงจำเหตุการณ์ของเช้าตรู่วันนี้เมื่อ 70 ปีก่อน จากอิทธิพลของภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่องหนึ่ง เมื่อเครื่องบินรบญี่ปุ่น 300 กว่าลำที่บินจากเรือบรรทุกเครื่องบิน ได้บินเข้าโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่เพร์ล ฮาเบอร์ อย่างไม่มีใครคาดคิดทำให้มีผู้เสียชีวิต 3,000 กว่าคน เรือรบเสียหาย 18 ลำ กองทัพเรือสหรัฐฯกลายเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ และเป็นการเปิดฉากระหว่างสหรัฐฯกับญี่ปุ่นเป็นเวลาร่วมสี่ปี

แต่หลายคนคงไม่ทราบว่า ในเวลาไล่เลี่ยกัน ทหารของสมเด็จพระจักรพรรดิเกือบ 50,000 นาย ได้เคลื่อนพลจากเกาะไหหลำ ด้วยกองเรือรบราว 200 ลำ กระจายกำลังยกพลขึ้นบกที่อ่าวไทยไล่ตั้งแต่จังหวัดสมุทรปราการ ชุมพร สุราษฏร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา และปัตตานี และทหารญี่ปุ่นบางส่วนจากอินโดจีนก็เคลื่อนกำลังเข้ายึดปราจีนบุรี

 คนไทยในเวลานั้น ตั้งแต่ทหาร ตำรวจ ยุวชนทหาร พลเรือน ได้ร่วมกันต่อสู้กับกองทหารต่างชาติบุกเข้าอย่างยอมตายถวายชีวิต ทุกสมรภูมิมีการปะทะอย่างดุเดือด ตั้งแต่ด้วยการยิงสู้กันกันด้วยปืนเรือรบกับปืนใหญ่ การโจมตีด้วยเครื่องบินกับหน่วยป้องกันและต่อสู้อากาศยาน การตั้งแนวปืนกลยิงปะทะกันในระยะกระชั้นชิด จนถึงการติดดาบปลายปืนเข้าสู้กัน เพื่อปกป้องอธิปไตยของไทย
               ไม่ต่างจากคำขวัญที่ปลุกระดมคนไทยให้สู้กับกองกำลังต่างชาติในเวลานั้นว่า ถ้าแม้นปราชัยต่อไพรี ก็ได้ปฐพีไม่มีคน

การรบดำเนินไปตั้งแต่ฟ้าสางจนถึง 10 โมงเช้า ฝ่ายไทยเสียชีวิตนับร้อยคนแต่รัฐบาลภายใต้การนำของรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็ได้สั่งให้ทุกแนวรบหยุดยิงยอมให้ญี่ปุ่นเดินทัพผ่านไทยได้สะดวก และต่อมาได้กลายเป็นฝ่ายเดียวกับญี่ปุ่น และยังประกาศท้ารบกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา

ในวันเดียวกับที่รัฐบาลไทยประกาศจุดยืนยอมเข้าข้างญี่ปุ่น มีคนไทยจำนวนมากไม่เห็นด้วย หลายคนน้ำตาไหลด้วยความเจ็บแค้น

ที่บ้านพักของนายปรีดี พนมยงค์ มีการชุมนุมของผู้คนที่คิดว่าไม่อาจหวังพึ่งพิงรัฐบาลชุดนี้ได้ และรวมตัวกันจัดตั้งองค์การต่อต้านญี่ปุ่น หรือมีชื่อในเวลาต่อมาว่า ขบวนการเสรีไทย อันประกอบด้วยคนไทยทุกระดับทั้งในและนอกประเทศ โดยมีภารกิจคือ ต่อต้านญี่ปุ่น และให้สัมพันธมิตรรับรองว่าการประกาศสงครามกับสหรัฐฯและอังกฤษไม่ได้เป็นเจตจำนงของคนไทย

ภาพจาก http://en.wikipia.org

 

 

 

(8 ธันวาคม 2484 ทหารญี่ปุนยกพลขึ้นบกเข้าไทย)

ภารกิจเสรีไทยอาจจะดูไม่มาก แต่เอาเข้าจริงแล้วอาจดูเป็นงานหินสุดขีด คือการกู้ชาติให้รอดพ้นจากกองทัพญี่ป่นที่ตีกองทัพสหรัฐและอังกฤษแตกพ่ายทุกสมรภูมิในภาคพื้นแปซิฟิก ตังแต่ฟิลิปปินส์ ชวา อินโดจีน มาเลเซีย พม่า จนนึกไม่ออกว่า เสรีไทย จะเอาอะไรไปสู้กับญี่ปุ่น  

และที่สำคัญคือประกาศจุดยืนเป็นศัตรูกับรัฐบาลไทยในเวลานั้นที่เป็นผู้กุมอำนาจรัฐ

ปฏิบัติการเสรีไทยจึงเต็มไปด้วยความเสี่ยงภัย และปกปิดเป็นความลับสุดยอด พลพรรคเสรีไทยจึงพร้อมที่จะเสี่ยงชีวิตได้ตลอดเวลา

ไม่น่าแปลกนัก ที่อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์เมื่อครั้งเป็นเสรีไทยสายอังกฤษ กระโดดร่มเข้ามาในประเทศไทย และถูกจับได้ เคยเขียนเล่าว่าในกระเป๋าเสื้อมี ยาพิษ เตรียมพร้อมกินยาฆ่าตัวตาย

คนอย่างนายการะเวก ศรีวิจารณ์ เสรีไทยสายอเมริกา ที่เดินข้ามภูเขาจากประเทศจีน เพื่อข้ามแม่น้ำโขงเข้ามาปฏิบัติการในเมืองไทยต้องถูกตำรวจไทย ยิงตาย พร้อมกันสามศพ

คนอย่างนายเสริม บุญสุตม์ นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองที่กระโดดร่มออกมาจากเครื่องบิน แต่ร่วมไม่กาง สาบร่มไปพันติดอยู่กับเครื่อง ตัวเองห้อยต่องแต่งกลางอากาศเป็นเวลานาน สุดท้ายมีสติพอที่จะชักปืนยิงกระสุนขึ้นฟ้าจนหมดแม็ก เพื่อให้คนในเครื่องบินได้ยิน และช่วยลากเข้ามาในเครื่องได้ในที่สุด

(นาย ปรีดี พนมยงค์ ผู้นำขบวนการเสรีไทย)

(คณะขบวนการเสรีไทย)

 

แต่สุดท้ายพลพรรคเสรีไทยทั้งในและนอกประเทศที่มีจำนวนหลายหมื่นคนก็ทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวออกมาจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยเกียรติศักดิ์และเกียติภูมิของชาติ โดยที่ประเทศไทยไม่ต้องเป็นฝ่ายแพ้สงคราม และยังสามารถรักษาเอกราชและอธิปไตยไว้ได้ ทั้งๆที่ไทยเป็นฝ่ายเดียวกับญี่ปุ่นและประกาศสงครามกับสัมพันธ์มิตรแน่นอนว่าหากปราศจากขบวนการเสรีไทย ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกใหม่ว่า ไทยเป็นประเทศแพ้สงคราม ต้องสูญเสียเอกราชและอธิปไตยไปอีกยาวนาน

ภายหลังสงคราโลกครั้งที่ 2 ยุติลง พลพรรคเสรีไทยก็แยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่เดิมของตัวเอง ไม่ได้มีอภิสิทธิ์เหนือคนไทยอื่นใด และไม่มีแม้กระทั่ง “อนุสาวรีย์เสรีไทย” ให้คนมากราบไหว้บูชา
น่าสนใจว่า สมาชิกเสรีไทยนั้น ประกอบด้วยบุคคลหลากหลาย บ้างก็เป็นศัตรู บ้างก็มีความขัดแย้งแบ่งเป็นฟักเป็นฝ่าย แต่ในที่สุดทุกฝ่ายก็ร่วมมือกัน อาทิ คนอย่าง ม.จ.ศุภสวัสดิ์วงค์สนิท สวัสดิวัตน์ ผู้นำเสรีไทยสายอังกฤษ ที่เคยถูกกล่าวหาว่าอยู่ฝ่ายเจ้า ก็ทำงานกับนายปรีดี พนมยงค์ ผู้นำคณะราษฏร ได้อย่างใกล้ชิด ลืมความขัดแย้งในอดีต ด้วยเหตุผลสำคัญ คือ “ภารกิจกู้ชาติ”
หลายปีที่ผ่านมาไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจจนแทบล้มละลาย สูญเสียเอกราชทางเศรษฐกิจ จนแทบจะตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ รัฐบาลชุดแล้วชุดเล่าพยายามชูนโยบายกู้ชาติต่างๆนานา
แต่ในความเป็นจริงผู้นำทางการเมืองของไทยที่มีหลายพรรค หลายก๊ก ก็ยังทะเลาะกันแทบทุกวัน ฝ่ายไหนเผลอไม่ได้ ต้องถูกอีกฝ่าย กระทืบให้จมดิน
คำว่ากู้ชาติ กู้เศรษฐกิจของนักการเมืองในปัจจุบัน แต่ไม่เคยแสวงหาความร่วมมือจากคนไทยด้วยกัน จึงเป็นเพียงแค่ ลมผาย เมื่อเทียบกับ พลพรรคเสรีไทย ในอดีต    

 

บทความจาก

(ผมซักฟอก)   วันชัย  ตัน  เจ้าของรางวัลศรีบูรพา 2554

ภาพประกอบ 

http://nattaharid.blogspot.com , http://www.pcat.ac.thhttp://seruthai76.blogspot.com

โพสโดย Vjujur