Skip to main content
 
ไชยยงค์ มณีพิลึก
 
 
5 ศพของผู้บริสุทธิ์ที่ ปุโล๊ะปุโย กองทัพต้องมีคำตอบที่ชัดเจน และต้องมีมาตรการป้องกันอย่างให้เกิดขึ้นอีก
 
                สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นสถานการณ์ที่กองทัพ โดยการบริหารจัดการของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เป็นฝ่ายตั้งรับมาตลอดเวลา 8 ปี โดยมีขบวนการแบ่งแยกดินแดนในชื่อ”นักรบปาตานี”เป็นฝ่ายรุก ด้วยวิธีการใช้ความรุนแรง เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชน เพื่อมิให้ประชาชนให้ความร่วมมือกับ กองกำลังทหารและเจ้าหน้าที่รัฐหน่วยอื่นๆ โดย “แนวร่วม” จะก่อเหตุร้ายเฉลี่ยวันละ 3-5 ราย ติดต่อกันมานาน 8 ปี เพื่อให้สังคมในประเทศและสังคมโลกเห็นถึงความ ล้มเหลว ในการ”จัดการ”กับปัญหาความไม่สงบของรัฐบาล
 
                เหตุการณ์ร้ายที่ชาวบ้าน 9 คน ใช้รถกระบะเป็นพาหนะเพื่อเดินทางไปร่วมละหมาดงานศพของอดีตผู้ใหญ่บ้าน บ้านทุ่งโพธิ์ ต.ลิปะสะโง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี และเมื่อขับผ่านบ้านกาหยี หมู่ที่ 1 ต.ปุโล๊ะปุโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ห่างจากฐานทหารพราน 4302 ประมาณ 2 กิโลเมตร รถยนต์คันดังกล่าวถูกกราดยิงเข้าใส่ จนพรุนหมดทั้งคัน ทำให้คนในรถยนต์เสียชีวิตทันที่ 4 ราย เสียชีวิตที่ ร.พ.ปัตตานี 1 ราย และบาดเจ็บสาหัส 3 ราย
 
                ผู้ที่บาดเจ็บทั้ง 3 ราย โดยเฉพาะนายยา ดือราแม ต่างยืนยันว่า ผู้ที่กราดยิงใส่รถยนต์คันดังกล่าวเป็น เจ้าหน้าที่ทหารพราน ซึ่งโดยก่อนเกิดเหตุ มีคนร้ายไม่ทราบจำนวน ได้ใช้อาวุธเครื่องยิงระเบิด เอ็ม 79 ยิงเข้าสู่ฐานทหารพราน 4302 หมู่ 3 บ้านน้ำดำ ต.ตะโล๊ะปูโย ทำให้ทหารพรานถูกสะเก็ดระเบิดบาดเจ็บ 1 นาย  ทหารพรานจึงได้ออกติดตามคนร้ายบนถนนสายดังกล่าว จนพบรถกระบะอีซูซุ สีบรอนท์เงิน หมายเลขทะเบียน 3105 ปัตตานี วิ่งย้อนศรผ่านมาและไม่หยุดให้ตรวจ จึงมีการกราดยิงใส่ จนเป็นเหตุให้มีผู้ตายและบาดเจ็บเกิดขึ้น
 
                แต่สิ่งที่สร้างความคลางแคลงใจกับเหตุการณ์ดังกล่าวคือ การการตรวจสอบภายในรถยนต์คันดังกล่าว เจ้าหน้าที่กล่าวว่าพบปืนยิงเร็วอาก้า 1 กระบอก ปลอกกระสุน 2 นัด ซึ่งเจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นของผู้อยู่ในรถยนต์ ในขณะที่ผู้ได้รับบาดเจ็บกล่าวว่า อาวุธปืนที่พบไม่ทราบมาจากที่ไหน เพราะชาวบ้านทั้งหมด เดินทางไปร่วมงานศพ ไม่มีใครมีอาวุธปืนติดตัวไปด้วย
 
                และนี่คือปฐมเหตุของความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เกิดขึ้น ซึ่งเกิดจากความเข้าใจผิดของเจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงานรักษาความสงบในพื้นที่ ซึ่งในอดีตเคยเกิดเหตุเช่นนี้ที่ อ.เมือง จ.ปัตตานี มาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อเจ้าหน้าที่ทหาร นำกำลังเข้าปฏิบัติการในเหตุการณ์ “แนวร่วม” วางเพลิงเผาเสาสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ในยามค่ำคืน และผ่านตลาดนัดพบเยาวชนกลุ่มหนึ่งวิ่งเล่นในตลาด ทหารเข้าใจผิดว่าเป็น “แนวร่วม” จึงกราดยิงด้วยอาวุธสงคราม เป็นเหตุให้มีคนตาย บาดเจ็บ พิการ กลายเป็น “เงื่อนไข” ความขัดแย้ง ก่อนที่จะจบลงด้วยการ ยอมรับผิด และ “เยียวยา” ให้กับผู้เสียหาย
 
                และอีกหลายครั้งที่ “เงื่อนไข”ความขัดแย้งเกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น คดีฆ่า 10 ศพ ในมัสยิดอัลฟูรกอน ต.ไอร์ปาแย อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ที่หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ไม่ยอมรับว่าเป็นฝีมือของ เจ้าหน้าที่ จนกลายเป็น เงื่อนไข สงคราม ขึ้น สุดท้าย เมื่อจนด้วยหลักฐาน จึงยอมรับว่าเป็นการลงมือของ อดีต ทหารพราน  เช่นเดียวกับการกราดยิงร้านน้ำชา ที่บ้านกาโสด อ.บันนังสตา จ.ยะลา เมื่อกลางปี 2554 ที่ผ่านมา ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง ซึ่งกว่าที่ จะมีการยอมรับว่าเป็นการลงมือของ ทหารพราน สถานการณ์ก็เข้าวิกฤต เกือบสูญเสียมวลชนทั้งหมู่บ้าน และอีกหลายต่อหลายครั้ง ที่ความสูญเสียของผู้บริสุทธิ์ เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งโดยประมาท โดยไม่ตั้งใจ และโดยเจตนา
 
                สิ่งเหล่านี้ ถ้าเกิดขึ้นในพื้นที่อื่นๆ ซึ่งไม่ใช่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาคลี่คลายได้ไม่ยาก แต่สำหรับจังหวัดชายแดนภาคใต้ สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการ ไม่ตั้งใจ ประมาท หรือ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ตาม แต่กลายเป็นปัญหาใหญ่ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและความแตกแยกของมวลชน ซึ่งวิธีการของการแก้ปัญหาคือ ต้องรีบคลี่คลายสถานการณ์โดยเร็วที่สุด ก่อนที่จะมีการรวมตัวของมวลชน ก่อนที่ “แนวร่วม” จะมีการนำประเด็นที่เกิดขึ้น ไปปลุกระดมให้ประชาชน โกรธแค้น เกลียดชัง เจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อให้เข้าทางของขบวนการแบ่งแยกดินแดน
 
                เพราะหลายต่อหลายครั้งของการออกมาชุมชุม เรียกร้องความเป็นธรรม หรือการต่อต้านเจ้าหน้าที่รัฐ เกิดจากการที่ เจ้าหน้าที่รัฐ ปฏิบัติการรุนแรงเกินกว่าเหตุ หรือบ่อยครั้งที่ปฏิบัติการผิดพลาดเกิดขึ้น และโยนความผิด หรือสร้างสถานการณ์ ให้ประชาชนผู้เคราะห์ร้าย กลายเป็น “แนวร่วม” เพื่อต้องการให้ เจ้าหน้าที่รัฐพ้นจากความผิด โดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของชาวบ้าน ผู้ซึ่งต้องสูญเสียแล้ว ยังถูกป้ายสีให้กลายเป็น “คนร้าย”อีกต่างหาก
 
                เช่นเดียวกับกรณี 5 ศพ และบาดเจ็บ 3 ราย ที่เกิดขึ้น สิ่งแรกที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบด้านยุทธการในพื้นที่ ต้องดำเนินการในทันที คือสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นโดยเร็ว อย่าได้มีการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ สีเดียวกัน ยิ่งการสร้างหลักฐานเท็จจริงยิ่งไม่ควรทำ  และเมื่อรู้แน่ว่า การสูญเสียของประชาชนทั้งหมดในครั้งนี้ เกิดจากการปฏิบัติการโดย ไม่ตั้งใจ ของเจ้าหน้าที่รัฐ สิ่งที่ต้องทำอย่างรวดเร็วคือ รับความจริงที่เกิดขึ้นว่าเป็นความผิดพลาด ทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่รวมทั้ง ประชาชนผู้เคราะห์ร้าย และให้การช่วยเหลือเยียวยา ตามหลักมนุษย์ธรรม หรือตามกฎเกณฑ์ของทางราชการ เพื่อลดกระแสความไม่พอใจ และยุติการ ฉกฉวยโอกาสของ “นักรบปัตตานี” ที่ต้องนำประเด็นดังกล่าวไปปลุกระดม โฆษณาชวนเชื่อ ให้ประชาชนเกลียดชัง ทหารพราน อย่างเช่นทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้
 
                การให้ความเป็นธรรมแก่ “เหยื่อ” ที่เป็นผู้บริสุทธิ์ โดยไม่ต้องรอให้เขาเรียกร้องหาความเป็นธรรม คือสิ่งที่ดีที่สุด เพราะหากปล่อยให้สถานการณ์ยาวนาน และสุดท้ายต้องคืนความเป็นธรรมให้กับ”เหยื่อ”ผู้บริสุทธิ์ เพราะมีการออกมาเรียกร้องของควา มเป็นธรรม  ก็จะเหมือนกับว่า เราต้อง “เสียเงิน” แต่ไม่ได้ “ใจ” และสิ่งที่ตามมาคือการเสียมวลชน ซึ่งหมายถึงความล้มเหลวของงาน “การเมือง”ในพื้นที่
 
และสุดท้าย กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องมีแผนในการป้องกัน คือการป้องกันอย่างให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ เพราะเหตุการณ์เยี่ยงนี้เกิดขึ้นแต่ละครั้ง หมายถึงความ “ศรัทธา” ของมวลชนที่มีต่อ เจ้าหน้าที่หายไปอย่างหมดสิ้น หลายหน หลายครั้ง ที่เกิดเหตุการณ์เยี่ยงนี้ขึ้น ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องนับหนึ่งใหม่ ในการทำงานมวลชน และงานมวลชนคืองานที่สำคัญที่สุด ในการแก้ปัญหาความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถ้างานด้านมวลชน “พ่ายแพ้” นั่นหมายถึงความพ่ายแพ้ของประเทศนั่นเอง