ที่ ๐๐๙ / ๒๕๕๕
แถลงการณ์
รัฐต้องคืนความเป็นธรรมให้ผู้บริสุทธิ์
จากเหตุการณ์ทหารพรานจากฐานปฏิบัติการ ๔๓๐๒ ยิงรถผู้ต้องสงสัยจนมีผู้เสียชีวิต ๔ ราย บาดเจ็บ ๔ รายและปลอดภัยอีก ๑ คนเมื่อคืนวันที่ ๒๙ มกราคม ที่ผ่านมา เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงการนำเสนอมุมมองความจริงที่ต่างกันระหว่างประชาชนในท้องถิ่นซึ่งอยู่ร่วมในหตุการณ์ และเป็นผู้ได้รับผลกระทบ กับเจ้าหน้าที่รัฐผู้บังคับใช้กฎหมาย รวมทั้งการด่วนสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของโฆษก กอ รมน ภาค ๔ รวมถึงรองนายกรัฐมนตรี พลเอกยุทธศักดิ์ ศศิประภา โดยขาดพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่จะสามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ตอกย้ำความรู้สึกของประชาชนในท้องถิ่นในความรู้สึกไม่ได้รับความไม่เป็นธรรม ซึ่งเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวนี้มิได้เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นครั้งแรก หากแต่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในพื้นที่โดยครั้งล่าสุดได้เกิดเหตุการณ์คล้ายคลึงกันนี้ ในบริเวณใกล้เคียงกันเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๕๔ ซึ่งในครั้งนั้นมีเยาวชนอายุ ๑๖ และ ๑๙ ปีถูกยิงเสียชีวิต พบว่าทุกเหตุการณ์ดังกล่าวเจ้าหน้าที่ไม่เคยสามารถนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายได้ โดยเฉพาะเมื่อผู้กระทำผิดเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ
จากปัญหาความรุนแรงและความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีสาเหตุจากความไม่เป็นธรรมในอดีต ปัจจุบันได้มีหลายฝ่ายพยายามเปิดพื้นที่พูดคุยเพื่อให้เกิดสันติภาพ อย่างไรก็ดีการสร้างสันติภาพที่แท้จริงต้องมีพื้นฐานของความไว้เนื้อเชื่อใจ และต้องไม่มีการสร้างเงื่อนไขของความไม่เป็นธรรมขึ้นมาใหม่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ ๒๙ มกราคม จึงเป็นสิ่งที่ทำลายความไว้วางใจที่ประชาชนเริ่มมีต่อเจ้าหน้าที่รัฐลงอย่างสิ้นเชิง
มูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งมายังครอบครัวผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ รวมถึงประชาชนในชุมชนอำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอเรียกร้องต่อรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดังต่อไปนี้
๑. รัฐบาลต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องไม่ปกปิดพยานหลักฐานและให้ผู้ที่ประชาชนไว้วางใจเข้ามีส่วนร่วมในการตรวจสอบดังกล่าวโดยเร็วที่สุดและแถลงให้ประชาชนทราบ
๒. ต้องจัดให้มีการคุ้มครองพยานคือผู้รอดชีวิตอย่างเต็มที่เพื่อให้พยานสามารถให้ข้อเท็จจริงได้อย่างอิสระโดยปราศจากความกังวลในการถูกคุกคาม
๓. หากปรากฏว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำผิดรัฐบาลต้องไม่ปล่อยให้มีการงดเว้นโทษ (Impunity) ต่อผู้ใดไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นราษฎรสามัญหรือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ
ทั้งนี้มูลนิธิฯมีความเชื่อมั่นว่าสันติภาพคงไม่อาจเกิดขึ้นได้หากประชาชนที่บริสุทธิ์ยังคงไม่ได้รับความเป็นธรรม และมีชีวิตอยู่ในความไม่รู้สึกปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สกไม่ปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่รัฐ