Skip to main content

ไชยยงค์ มณีพิลึก

สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มีความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับ เจ้าหน้าที่ทหาร ที่ตกเป็น เป้า ของการโจมตี  จาก “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน และจากกลุ่ม”คนร้าย” ที่ถูกว่าจ้าง จากกลุ่มผลประโยชน์ จาก ธุรกิจ ผิดกฎหมาย ในพื้นที่

 

เหตุความสูญเสียล่าสุด คือการสูญเสีย ทหารจำนวน 4 ศพ จากกับระเบิดที่ อ.รือเสาะ การเข้าโจมตี หน่วยนาวิกโยธิน ที่ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส และการที่ “แนวร่วม” แต่งกายด้วย เครื่องแบบตำรวจ บุกเข้าปล้นปืนจุดตรวจของ อส.ที่ อ.รามัน ซึ่งมีการฆ่าเจ้าหน้าที่อย่างโหดเหี้ยม และปล้นปืนไปได้อีก 7 กระบอก

เหตุการความรุนแรง ความสูญเสีย ที่เกิดขึ้น ทั้งกับ กองทัพ และกับ พลเรือน ดูประหนึ่งว่า กองทัพ หรือ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กำลังเพลี้ยงพล้ำ  ต้อง ถอยร่น ในลักษณะ”ญะญ่ายพ่ายจะแจ” ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์ วิจารณ์ ด้วยความสงสัย ความผิดหวัง จากประชาชนในพื้นที่ และความเคลือบแคลง ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่ผ่านมาถึง 8 ปีว่า ที่ว่า สถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับ ดีขึ้นจริงหรือ และ ที่ว่า “เราเดินมาถูกทางแล้ว” เป็นการเดินถูกทาง หรือ ผิดทาง กันแน่

โดยข้อเท็จจริง สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เลวร้ายลง ตั้งแต่ต้นปี 2555 เป็นต้นมา “แนวร่วม” ใช้วิธีปฏิบัติการ ด้วยความรุนแรง และ โหดเหี้ยม ต่อเป้าหมาย ที่เป็น เจ้าหน้าที่รัฐ และ ประชาชน อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นเหตุ ฆ่ารายวันๆละ 3-5 ครั้ง โดยมีการรักษาสถิติ ที่ ตัวเลขนี้มาโดยตลอดเวลา 3 เดือน ที่ผ่านมา

และหลังจากที่ ทหารพราน ซึ่งตั้งฐานอยู่ใน ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เกิดความเข้าใจผิด ยิงประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต 4 ราย และ บาดเจ็บ 4 ราย โดยมีการพยายามสร้างสถานการณ์ เอาอาวุธไปใส่ในรถยนต์ของผู้เสียชีวตและบาดเจ็บ ประหนึ่งต้องการให้ สาธารณะชนเห็นว่า คนเหล่านั้นเป็น คนร้าย ที่ยิงต่อสู้กับ เจ้าหน้าที่รัฐ ยิ่งทำให้เหตุการณ์ในพื้นที่เกิดความรุนแรงยิ่งขึ้น

และต่อด้วยกรณีที่ ทหาร ซึ่งตั้งฐานปฏิบัติการที่ ต.ละแว้ง อ.ยะรัง จ.ปัตตานี มีเรื่องชู้ สาว กับหญิงสาวชาวบ้านที่อายุ 16 ปี และมีการถ่าย”คลิป” และ ส่ง”คลิป”ไปทั่ว ยิ่งเป็นการ โหมกระหน่ำ ความไม่พอใจให้เกิดขึ้นใน สังคม”มุสลิม” มากยิ่งขึ้น เพราะทั้ง 2 กรณี เป็นสิ่งที่คนในพื้นที่รับไม่ได้ และต้องการให้ กองทัพ ให้คำตอบที่พอใจ

เรื่องทั้ง 2 กรณี ถูก”แกนนำ” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน ทั้งในพื้นที่ และ ต่างประเทศ นำไปขยายผลในด้าน”การเมือง” นั่นคือการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อตอกย้ำให้เห็นว่า กองทัพ คือตัวปัญหา เป็นผู้สร้างปัญหา ความไม่เป็นธรรม ความเดือดร้อน ให้เกิดขึ้นกับคนในพื้นที่  ซึ่ง ขบวนการฯ หวังผล ให้ประชาชนในพื้นที่ วางเฉย ไม่ให้การสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐ และสุดท้ายคือการเติม”เชื้อไฟ” ซึ่งเป็น”ไฟแค้น” ในการ ขับไล่ กองกำลัง ทหาร ออกจากพื้นที่ และวันนี้ ประชาชน กำลังคล้อยตาม  การโษฆณา ชวนเชื่อของ”แนวร่วม” เสียงพูดเบาๆว่า ให้ ทหารออกไป กำลังจะเป็นเสียง ตะโกน เพื่อให้สังคมรับรู้

ในขณะที่  กองทัพ หรือ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่รับผิดชอบพื้นที่ ยังตั้งหลักไม่ทัน ความ”เชื่องช้า” ในการ รุก ทางด้านการเมือง  การสื่อสารกำสังคม ล้มเหลว  คนในพื้นที่ไม่ให้ความเชื่อถือ ในคำชี้แจง ข้อเท็จจริง ของเจ้าหน้าที่ หลายพื้นที่ ซึ่ง ประชาชน เคยให้ความร่วมมือกับ กองกำลัง ต่างเมินเฉย ที่จะให้ความร่วมมือ ซึ่งมีอยู่ 2 กรณี  1 การปฏิบัติการด้วยความรุนแรง โหดเหี้ยมของ”แนวร่วม” โดยที่ กองกำลังของ กอ.รมน. เพลี่ยงพล้ำ ติดต่อกัน ทำลาย ขวัญ กำลังใจ ของ “แนวร่วม” ฝ่ายรัฐ และ 2 การกระทำที่ผิดแล้วผิดอีกของ กำลังพล ในพื้นที่ ทำให้”มวลชน” ที่ให้กับสนับสนุน เจ้าหน้าที่ เห็นถึงความ ล้มเหลว ในการแก้ปัญหาจึงเริ่มวางเฉย ซึ่งนี่คือความพ่ายแพ้ด้าน”การเมือง”ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า

และนอกจากจะพ่ายแพ้ทาง”การเมือง”แล้ว วันนี้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยัง พ่ายแพ้ ทาง”ยุทธการ” เพราะ ก้าวไม่ทัน ยุทธวิธี ของ”แนวร่วม” ที่ใช้วิธการ ง่ายๆ เช่นใช้รถยนต์ที่ประกอบระเบิดด้วยการ ติดสติกเกอร์ เป็นหน่วยงานของรัฐ เช่นการใช้”คาร์บอมบ์” ติดสติกเกอร์ให้คลายกับรถยนต์ของ “สาธารณะสุข”จังหวัดปัตตานี เพื่อ”บอมบ์”สำนักงานสาธารณะสุข จ.ปัตตานี จนเป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน

การแต่งกายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และใช้รถยนต์ที่ดัดแปลงคล้ายกับรถตำรวจ ติดตรา และสติกเกอร์ของ สำนักงานตำรวจ  บุกเข้าปล้นปืนในจุดตรวจ และการเลือนแบบตำรวจ ตั้งด่านตรวจริมถนน เพื่อปล้น และ ฆ่า ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งเป็น ยุทธวธีที่ง่ายๆ เช่นเดียวกับการ ซุกระเบิดกระป๋องมน้ำอัดลมในร่างกาย และเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้าใหญ่ กลางเมืองปัตตานี ก่อนที่จะแอบเอาระเบิดเวลาไปวางรวมกับสินค้าในห้าง และจุดระเบิดขึ้น จนเกิดเพลิงไหม้กลางห้างใหญ่ๆ เพื่อทำความเศรษฐกิจ ทกลายความเชื่อมั่นของประชาชน ที่มีต่ออำนาจรัฐ

และ ในอนาตค วิธีการง่ายๆ ที่ไม่สลับซับซ้อนเหล่านี้ ยังจะเกิดขึ้นอีกมาก อาจจะมี”แนวร่วม” แต่งกายในชุดทหาร ขับรถตรากงจักร เข้าไปในสถานีตำรวจภูธรในเวลา กลางคืน เพื่อฆ่าเจ้าหน้าที่และปล้นปืน รวมทั้งการแต่งกายเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง เข้าไปยังสถานที่สำคัญ เช่น ศาล สำนักงานอัยการ และ อื่นๆ เพื่อทำการ”บอมบ์” เป้าหมายที่ต้องการ

วันนี้ วิธีการง่ายๆ ที่อาศัยความ”กล้า”มากกว่าอย่างอื่นๆ ของ”แนวร่วม”ขบวนการแบ่งแยกดินแดน เป็นเรื่องที่ หน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าจะเป็น ศปก.หรือ ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจส่วนหน้า ที่อยู่กับ ศชต. หรือ ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีหน่วยงานรับผิดชอบ ศูนย์โจรกรรมรถยนต์ ยังไม่เคยแสดงความสามารถ ในการ จับกุม แหล่งดัดแปลง รถที่โจรกรรมมาเพื่อใช้ในการทำ”คาร์บอบ์ม” และใช้ในการ ปฏิบัติการก่อการร้ายของเหล่า”แนวร่วม”แต่อย่างใด

และในส่วนของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ก็ไม่เคยประสพความสำเร็จ ในการสกัดกั้น การปฏิบัติการของ”แนวร่วม” ในเรื่องของการ ปลอมเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งบุคคล และ ยานพาหนะ ทั้งที่ส่วนใหญ่ของปฏิบัติการของ”แนวร่วม” อยู่บนถนนสายหลัก เป็น ทางหลวงแผ่นดิน

เหล่านี้เป็นสาเหตุให้ ขบวนการมีความ”ฮึกเหิม” มวลชนที่ให้การสนับสนุนมีความหวัง ประชาชนที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เกรงกลัวต่ออิทธิพลของขบวนการ ส่วนมวลชนที่ให้กับสนับสนุนรัฐ ถดถอย ทั้งขวัญและกำลังใจ เพราะความ เพลี่ยงพล้ำอย่าง ต่อเนื่องของ  กองทัพ

ในวันที่ 19 มีนาคมนี้ จะมีการต่ออายุการใช้ พรก.ฉุกเฉิน อีกครั้ง ซึ่งขณะนี้มีการเคลื่อนไหวจาก เครือข่าย นักศึกษาและประชาชนให้ กองทัพ ยกเลิก พรก.ฉุนเฉินในพื้นที่ เพราะเห็นว่า พรก.ฉุนเฉิน ไม่ได้สร้างความสงบให้กิดขึ้น  ซึ่ง วันนี้ กองทัพ โดยเฉพาะ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จะต้องประมวลสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และต้องปรับงานด้าน”ยุทธการ” เพื่อให้”ยุทธวิธี”สามารถตอบโต้ ปฏิบัติการของ”แนวร่วม” ที่เหนือกว่า เพราะหาก กองทัพ ตั้งรับ ในลักษณะการ”ถอยร่น” ครั้งแล้ว ครั้งเล่า และ เกิดความ ผิดพลาด แบบ ผิดแล้ว ผิดอีก อย่างที่เกิดขึ้น

อาจจะถึงเวลาที่ กองทัพ ต้องทำตามคำเรียกร้องของประชาชน นั่นคือ เลิก พรก.ฉุนเฉิน ถอนกำลังออกจากพื้นที่ มอบหน้าที่ให้ ตำรวจ และฝ่ายปกครอง เข้ามาแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้น เพราะการ ถดถอย ของ กองทัพ ทั้งทางด้าน มวลชน และด้าน ยุทธการ  ทำให้ประชาชน หมดความ เชื่อมั่น และ เชื่อถือ ซึ่งเป็น อันตรายอย่างยิ่ง ต่อการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ สุ่มเสี่ยง ต่อความ วุ่นวาย ครั้งใหม่ที่จะติดตามมา