Skip to main content

 


 
เผยแพร่วันที่ 14 มีนาคม 2555 
 
แถลงการณ์
ข้อเรียกร้องถึงผู้แทนรัฐบาลไทยต่อการยอมรับดำเนินการ
และข้อปฏิเสธตามคำแนะนำของผู้แทนประเทศต่างๆ
ที่เข้าร่วมประชุมในเวทีทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทย (UPR)
ต่อกระบวนการยุติธรรมทางอาญาและสถานการณ์ความรุนแรงในภาคใต้
 
เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2555 รัฐบาลไทยได้จัดทำรายงานถึงคณะทำงาน UPR ของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาติ (United Nations Human Rights Council-HRC)  เพื่อสรุปข้อเสนอแนะที่รัฐบาลไทยได้ยอมรับและปฏิเสธข้อเสนอแนะของผู้แทนประเทศต่างๆ และเสนอต่อที่ประชุมคณะมนตรีด้านสิทธิมนุษยชน ในวันที่ 15 มีนาคม 2555 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมและมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชน ที่ได้ดำเนินกิจกรรมส่งเสริมประชาชนในการเข้าถึงความยุติธรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะกรณีที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายพิเศษ ยังมีข้อห่วงใยต่อรายงานของรัฐที่นำเสนอด้านสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนภายใต้การบังคับใช้กฎหมายพิเศษดังนี้
 
กระบวนการยุติธรรมทางอาญา (Criminal Justice Issues) และกฎหมายความมั่นคง (Security laws)
 
1.เมื่อปี 2554 มูลนิธิฯได้นำเสนอรายงานเงาต่อคณะกรรมการด้านสิทธิเด็กเกี่ยวกับเด็กในกระบวนการยุติธรรมระหว่างการบังคับใช้กฎหมายพิเศษ ซึ่งรายงานได้นำเสนอถึงสถานการณ์การละเมิดสิทธิเด็กระหว่างที่มีการถูกควบคุมตัวตามกฎหมายพิเศษ แม้ว่ากฎหมายความมั่นคง เช่น พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกฉิน พ.ศ.2548 ได้วางมาตรการในการจัดการให้มีการควบคุมตัวเด็กแยกออกจากผู้ใหญ่ แต่ข้อเท็จจริงในรายงานพบว่าเด็กยังคงถูกควบคุมตัวรวมกับผู้ใหญ่ และระหว่างการควบคุมตัวยังมีกรณีการซ้อมทรมานเด็กเพื่อให้รับสารภาพ ซึ่งคณะกรรมการด้านสิทธิเด็กได้ทำรายงานข้อสังเกตุต่อรัฐบาลไทยถึงข้อวิตกกังวลที่เด็กอายุต่ำกว่า 18 ยังคงถูกควบคุมตัวโดยปราศจากการนำมาตรการสำหรับเด็กมาบังคับใช้เป็นระยะเวลากว่า 30 วัน และได้มีข้อเสนอถึงรัฐว่า “..ขอให้ไทยทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวกับความมั่นคง และห้ามดำเนินการใดๆต่อเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี...”
 
2.เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2555 คณะรัฐมนตรีโดยคำแนะนำของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้มีมติในที่ประชุมให้ประกาศขยายระยะเวลาการบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต่อไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม – 19 มิถุนายน 2555 มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวนี้ยังคงอาศัยคำแนะนำข้อมูลของหน่วยงานความมั่นคงที่อ้างแต่เพียงการก่อเหตุความไม่สงบที่ยังไม่ยุติ แต่ไม่สามารถชี้แจงต่อสาธารณะได้ว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาความรุนแรงอย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างไรและจะประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงนี้ได้เมื่อใด และแม้ว่าคณะรัฐมนตรีจะมีมติยกเว้นจากบังคับใช้พรก.ฉุกเฉินฯในบางพื้นที่เช่น อำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี หรือยกเลิกการบังคับพรบ.กฎอัยการศึก พ.ศ.2457 ในพื้นที่สี่อำเภอของจังหวัดสงขลาแล้ว แต่พื้นที่อำเภอดังกล่าวกลับถูกแทนที่ด้วยกฎหมายความมั่นคงอีกฉบับหนึ่งคือ พรบ.ความมั่นคงภายในแห่งราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ซึ่งเห็นว่าเป็นกฎหมายที่มีความเป็นมิตรภาพมากกว่า แต่ข้อเท็จจริงที่มูลนิธิฯค้นพบคือ ผู้ถูกบังคับใช้ยังคงถูกจับกุมและควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่หน่วยความมั่นคง และใช้เทคนิคหรือช่องว่างทางกฎหมายในการนำบุคคลที่อยู่ในพื้นที่พรบ.ความมั่นคงไปควบคุมตัวตามพรก.ฉุกเฉินฯเป็นระยะเวลา 30 วัน เพื่อใช้โอกาสดังกล่าวในการกล่อมหรือบังคับให้บุคคลเข้าสู่กระบวนการอบรมตามพรบ.ความมั่นคงและบางรายยังมีข้อเท็จจริงว่าถูกซ้อมทรมานเพื่อให้เข้าสู่มาตรการการอบรมแทนการฟ้องคดี กระบวนการบังคับใช้ดังกล่าวนอกจากจะขัดต่อหลักนิติธรรมแล้วยังขัดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศที่รัฐไทยเป็นภาคีของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน (UN Convention Against Torture) และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
 
3. มูลนิธิฯขอย้ำต่อผู้แทนคณะมนตรีด้านสิทธิมนุษยชนว่า มาตรา 17 แห่งพรก.ฉุกเฉินฯ ได้กำหนดการยกเว้นเขตอำนาจศาลปกครอง มิให้ประชาชนผู้เสียหายตรวจสอบการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารโดยการฟ้องเพิกถอนคำสั่ง ประกาศ ระเบียบ ข้อกำหนด หรือการกระทำอันขัดต่อกฎหมายต่อศาลปกครองได้ แม้การกระทำดังกล่าวจะเป็นการกระทำทางปกครองโดยแท้และส่งผลต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนก็ตาม การยกเว้นเขตอำนาจศาลปกครองถือเป็นการสร้างหลักปกป้องรัฐจากการตรวจสอบการใช้อำนาจการตรวจสอบที่มีความชำนาญด้านการใช้อำนาจปกครองของรัฐ
 
มูลนิธิฯ จึงขอเรียกร้องและเน้นย้ำให้รัฐบาลยอมรับตามข้อเสนอแนะของผู้แทนสมาชิกภายใต้กลไก UPR ของคณะมนตรีด้านสิทธิมนุษยชนที่ต้องปรับปรุงสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และยกเลิกกฎหมายความมั่นคงในทันที และจะต้องรับรองว่าจะไม่มีการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงต่อเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี