Skip to main content

     นิ่งดูดายปิดปากอดทนเป็นซากกิ่งพิกุลทองให้ใครต่อใครย่ำยีกระทืบมาได้เนิ่นนาน

   โดยทั้งที่ไม่คิดจะเสียเวลาสวนกลับ และโดยไม่คิดว่ายังจะมีใครหมดทางทำมาหากินด้วยการตั้งคำถามเรื่องศูนย์ข่าวอิศราขึ้นมาอีก

   ใน พ.ศ.2552ที่สังคมไทยพยายามเรียกร้องให้คนกระหายสงบได้รู้จักคำว่าเหตุผลและเรื่องจริง

   ได้อารมณ์เหมือนดูข่าวเสื้อแดงออกมาแถลงข่าวยืนยันว่ามีคนเสียชีวิตในเหตุการณ์ 13 เมษายน มากมายหลายสิบหลายร้อยศพ ทุกวี่ทุกวัน ทั้งๆที่มุดหัวหลบคดีอยู่ในที่ซ่อนตัวมิดชิด ณ ต่างประเทศ

   ฉันใดฉันนั้น หากเป็นผู้ทรงภูมิเจริญสติโดยใช้ปัญญาไตร่ตอง ก็จะพบว่าประเด็นเรื่องศูนย์ข่าวอิศรา เป็นคนละเรื่องกับสถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้

   และเป็นคนละประเด็นกับการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน เพียงไม่กี่คน ที่ต้องลงไปใช้ชีวิตในสนามข่าว 2-3 เดือน (และยังลงไปเรื่อยๆจวบจนปัจจุบันเกือบ 4 ปีแล้ว)เพื่อสร้างมิติการนำเสนอข่าวที่หลากหลายขึ้นกว่า การนับความสำคัญที่"ศพตาย 4หน้าใน ตาย 5 หน้าหนึ่ง"

   การถูกอุปมาอย่างดูแคลนจากพิราบให้เป็นแมลงวัน โดย "คนนอก" ซึ่งคลุกคลีกับปัญหาชายแดนใต้เชิงนามธรรมอย่างงูๆปลาๆ และความเข้าใจนี้ก็อาจหมายถึง "คนนอก" ที่คลุกคลีกับศูนย์ข่าวอิศราเพียงเช่าโรงแรมชั่วคราวเพื่อแนบหูฟังเสียงอยู่ห้องข้างๆเท่านั้น  

   ระหว่างที่นกพิราบผู้มากประสบการณ์นั่งเฝ้าดูความตายของเด็กๆและชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ในภาคใต้ ทางหน้าจอโทรทัศน์พร้อมครอบครัวด้วยความสุข ประกอบกับวิพากษ์วิจารณ์ด่าทอผู้ก่อเหตุ ก่อนจะขึ้นไปหลับบนที่นอนอันอุ่นสงบสบาย

   แมลงวันก็บินไปเฉี่ยวเส้นแบ่งระหว่างการทำงานที่ซื่อตรง กับการเสี่ยงที่ต้องกลายเป็นผู้สูญเสียของพ่อแม่

   นั่งนับหัวกัน ณ ปัจจุบันเลยก็ได้ว่า ผู้สื่อข่าวกี่ร้อยกี่พันคนที่มีอยู่ในสื่อส่วนกลางตอนนี้ ใครกล้าลงไปนอนในพื้นที่กับชาวบ้านแค่เดือนเดือนก็พอ มีใครบ้าง

   พื้นที่...ซึ่งไม่ใช่ตัวอำเภอเมือง และไม่ใช่ โรงแรม ซีเอส.ปัตตานี แต่หมายถึงขับรถไปหาที่นอนเองตาม อ.แว้ง ,อ.สุคีริน ,อ.เจาะไอร้อง ,อ.มายอ ,อ.ทุ่งยางแดง ฯลฯ

   ที่น่ารำคาญใจยิ่งนักคือเรื่องที่พร่ำโพนทะนาอยู่ไม่จบไม่สิ้นว่าศูนย์ข่าวอิศราโกงอย่างนั้นโกงอย่างนี้

   ปากต่อปาก ใช้ความเชื่อและอคติสร้างเรื่องเท็จให้เป็นความจริง ยุทธวิธีเดียวกับม็อบที่ใช้ฉุดรั้งความเจริญประเทศชาติมาจนถึงวันนี้

   เคยทราบบ้างหรือไม่ว่า ผ่านขั้นตอนพิสูจน์กันมาตั้งไม่รู้กี่ปีกี่ชาติ ถ้ามีคนผิดก็เอาไปลงโทษ ประจานให้หมดอนาคตไปเลย ข้อหาทำให้จริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนด่างพร้อยเปื้อนมลทิน ซึ่งถือว่าเป็นความผิดที่รุนแรงมากที่สุดของคนที่ได้ชื่อว่าดำรงตนเป็นนักข่าว

   แต่หาก "คนนอก" ไม่รู้เรื่องอะไรแล้วยังพร่ำพรรณาคล้ายสลึมสะลือเพิ่งตื่นขึ้นมาเพื่อระลึกอดีตชาติ ก็ดูจะเห็นได้ชัดว่ามาตรฐานการมองโลก มองผู้อื่น มองผู้ที่ทำงานโดยไม่เคยบ่นว่าเหนื่อย ไม่เคยบ่นว่ากลัวสักคำ มีทัศนคติอยู่ในระดับใด

   เมื่อคนมีใจ ใช้ใจทำงาน มันขวางหูขวางตาพิราบผู้สูงศักดิ์มากนัก ก็อย่าได้ลดเกียรติภูมิลงมาวิจารณ์แมลงวันด้วยอคติเลย

   ได้โปรดจงอยู่ และจงมีชีวิตเพื่อทำลายในสิ่งที่ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าใจ แต่เพียงแค่ได้ยินก็ครั่นเนื้ออยากจะกระโดดเข้ามามีส่วนห้ำหั่นในสงครามแห่งอำนาจการเมืองอันจอมปลอมและไร้ราคา

   ตัวใครทำอะไรไว้ รู้ดีอยู่แก่ใจตน จะดีจะชั่วเมื่อสบตาก็เห็นทะลุไปถึงเส้นเลือดฝอย

   เรื่องจริง ความจริงนั้นมีอยู่แน่นอน

   แต่ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือความจริงนั้นอยู่ในมือใคร

   โปรดจงอย่าเอาคราบเลือด คราบน้ำตาของคนในจังหวัดชายแดนใต้ ไปกระทำข่มขืนถึงญี่ปุ่นด้วยอคติที่ลุกโชนรายล้อมรอบหมวกที่ชื่อสื่อมวลชน

   อย่าเอาสถานการณ์ความรุนแรงไปเป็นเหยื่อของอคติ และความไม่รู้จริง

   เดินทางใครทางมัน แล้วทำให้ทางนั้นดีที่สุดเพื่อประโยชน์จะได้ตกชาวบ้านในจังหวัดชายแดนภาคใต้

   แล้วระหว่างทางที่เดินนั้น หากยังไม่ได้ทำอะไรที่ดีแล้ว ไม่จำเป็นก็อย่าหันมามองคนที่เดินทางอื่น เพื่อรอจังหวะย่ำยีใส่ร้ายด้วยข้อกล่าวหาอันแสนจะไร้ความคิดสร้างสรรค์

   ด้วยความปรารถนาดีจากใจ หลังจากที่ 3-4 ปีที่แล้วรอดตายกลับมากอดพ่อกอดแม่ได้ ขอให้คนนอกจงเป็นพิราบอันสูงส่ง ค้างฟ้า ที่อยู่กันคนละเส้นทาง

   เพราะไม่แน่ว่า หากพลาดพลั้งด้วยประการทั้งปวง

   สักวันอาจจะเจอไม้ตบแมลงวันกระหน่ำด้วยความรำคาญ