Skip to main content

  ถนนสายหลักใจกลางย่านธุรกิจของสายบุรีในปัตตานีกลายสภาพเป็นเมืองร้าง เมื่อร้านรวงสองข้างทางพร้อมใจกันปิดตัวเอง ประตูร้านทุกร้านปิดสนิท ยกเว้นร้านขายของชำเพียงร้านเดียวรวมทั้งร้านข้างๆที่กำลังซ่อมแซม บนถนนไม่มีรถราหรือผู้คนสัญจรคึกคักเช่นเคย จะมีก็แต่กลุ่มนักข่าวและช่างภาพไม่กี่รายที่ถ่ายภาพบนถนน ชาวบ้านที่เปิดประตูออกมาพูดคุยกับนักข่าวมีทั้งเค้าความรู้สึกเหลือเชื่อ สิ้นหวัง เบื่อหน่าย อึดอัด ผสมปะปนกันบนใบหน้าของพวกเขา  

ร่องรอยที่ยังหลงเหลือจากเหตุยิงและระเบิดซ้ำเมื่อวันศุกร์บนถนนเส้นนี้ยังปรากฏชัด รวมทั้งซากจากเพลิงไหม้ บ้านไม้หลังริมสุดแม้จะรอดมาได้จากพระเพลิง แต่อยู่ในสภาพเหมือนถูกทึ้งเพราะชิ้นส่วนขาดวิ่น ฝาที่ห้อยต่องแต่งถูกลมตีพะเยิบพะยาบยิ่งเสริมภาพของความเป็นเมืองที่ถูกทิ้ง สำหรับชาวบ้านสายบุรีและสำหรับคนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ นี่คือการสื่อสาร คนก่อเหตุกำลังบอกอะไรพวกเขาสักอย่าง 

ไม่ไกลกันร้านเซเว่นติดประกาศหน้าร้านความว่า เนื่องจากสถานการณ์ไม่สงบ บริษัทยะลาเซเว่นขอหยุดให้บริการในวันศุกร์ที่ 28 กย. 2555 เมื่อขับรถผ่านไปตามเส้นทางต่างๆในสายบุรีแทบจะไม่ปรากฏว่ามีธุรกิจหรือใครเปิดทำการ ไม่ใช่แค่ธุรกิจ โรงเรียนต่างๆ และธนาคารก็ปิดเช่นกัน และนี่คือสภาพของสายบุรีในวันศุกร์ที่ 28 กย. หนึ่งสัปดาห์หลังเหตุรุนแรงที่ทำให้คนตายไปสี่ บาดเจ็บอีกหลายสิบ  

ความรุนแรงในสายบุรีไม่ได้เป็นแค่ฉากของอาชญากรรมธรรมดา แต่มันกำลังกลายเป็นการจุดกระแสตื่นตระหนกว่า “ขบวนการ” หรือฝ่ายตรงข้ามรัฐห้ามไม่ให้ผู้คนทำงานกันในวันศุกร์ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ข้อห้ามนี้จะจริงหรือไม่หรือจริงแท้แค่ไหน คนจำนวนมากไม่มีใครรู้แน่แก่ใจ สำหรับพวกเขามันเป็นแค่ข่าวลือหรือสิ่งที่เล่ากันมาปากต่อปาก ลือกันตั้งแต่สองสามสัปดาห์ที่แล้ว สิ่งที่ทำให้เกิดความแตกตื่นในหนนี้คือเหตุการณ์ที่ได้รับการตีความว่าเป็นการ “ยืนยัน” ข้อห้ามดังกล่าว ซึ่งนั่นก็คือเหตุการณ์ที่สายบุรีนี่เอง

เพราะเหตุการณ์ในสายบุรีเกิดขึ้นในช่วงเที่ยงวันของวันศุกร์ เป็นช่วงเวลาที่มุสลิมละหมาดใหญ่ประจำสัปดาห์ เหตุการณ์ที่สายบุรีทำให้ย่านธุรกิจพากันปิดตัวเองในวันศุกร์วันนี้ และไม่ใช่แค่ในสายบุรี แต่นอกสายบุรีและโดยเฉพาะในหลายพื้นที่ของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้หลายคนจะระบุว่าในพื้นที่ชนบทห่างไกล การหยุดทำงานวันศุกร์ ปิดตลาด เป็นเรื่องที่ทำกันมานานแล้ว แต่ในพื้นที่ที่เชื่อกันว่าอำนาจรัฐยังเข้มแข็งอย่างในเขตเมืองนั้น การหยุดงานวันศุกร์เพิ่งจะมามีผลอย่างกว้างขวางเอาก็ในวันนี้

ที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่งยวดก็คือไม่มีร่องรอยของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหรือเจ้าหน้าที่ความมั่นคงให้เห็นอย่างที่หลายคนคาด แม้บนถนนบางช่วงจะมีบ้างก็ในเขตใกล้ที่มั่นจนท.ทหาร ชาวบ้านรายหนึ่งในสายบุรีกล่าวอย่างขมขื่นว่า “ถ้าเจ้าหน้าที่มาดูแล แม้ว่าตอนแรกชาวบ้านจะไม่กล้า แต่พอผ่านไปสักพักพอเห็นกันแล้วว่าไม่มีอะไรเขาก็จะมั่นใจและค่อยๆกลับมาเอง แต่นี่เจ้าหน้าที่ไม่มาเลย” 

ในตัวเมืองปัตตานี ร้านรวงต่างๆปิดตัวเองไปหลายถนน จากปากคำของคนท้องที่ เป็นการปิดร้านที่มากที่สุดและเบ็ดเสร็จมากที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเห็นมา  ตลาดเทพวิวัฒน์1 ซึ่งเป็นตลาดเทศบาลขนาดใหญ่ใจกลางเมืองปรากฏผู้ค้าแต่สี่ห้ารายเท่านั้น นพปฎล มณีวงศ์ประธานกลุ่มผู้ค้าในตลาดบอกว่าการหยุดค้าขายวันนี้เป็นการตัดสินใจของผู้ค้าแต่ละรายเองในบรรดาผู้ค้าร่วมพันที่ทำมาหากินในตลาด พร้อมกับชี้ว่า ตลาดเทศบาลแห่งนี้เป็นที่นัดพบไม่ใช่เฉพาะผู้ค้าและผู้ซื้อปลีกเท่านั้น แต่พ่อค้าแม่ค้าจากที่ห่างไกลที่มารับของไปขายที่อื่นก็กระทบด้วย เท่ากับว่าผลกระเทือนน่าจะกว้างไกลมากไปกว่าการที่ชาวบ้านหรือร้านค้าในย่านใกล้เคียงไม่มีอาหารหรือวัตถุดิบในการทำอาหาร แต่สินค้าที่จะกระจายไปยังพื้นที่อื่นๆก็สะดุดด้วยเช่นกัน ที่สำคัญพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยที่เป็นคนตัวเล็กตัวน้อยล้วนกระทบไปหมด เงินสดที่ไหลเวียนในตลาดนี้วันละราว 7-10 ล้านบาทก็หายไปด้วย 

“ไม่มีใครมาบอก มันเป็นเรื่องที่ได้ยินกันมาเป็นทอดๆ พูดกันปากต่อปาก กระแสข่าวสร้างความหวาดกลัว มันน่ากลัวยิ่งกว่าเสียงระเบิดที่ได้ยินกันจนชินแล้ว” 

“เหตุการณ์ที่สายบุรีมันทำให้คนกลัว เมื่อก่อนมีข่าวระเบิดเกิดขึ้นรายวัน แต่วันนี้เราเห็นภาพคนถือปืนวิ่งออกมาตามถนนถึงขนาดเปิดหน้าเปิดตา เรารู้สึกเหมือนชีวิตมันแขวนอยู่บนเส้นด้าย ต้องดูแลตัวเอง”  

“พวกเขาขาดความเชื่อมั่น เจ้าหน้าที่เองก็ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้” นพปฎลอธิบายความรู้สึกผู้ค้าในตลาด

“สายบุรีเป็นจุดเปลี่ยนของสถานการณ์” อนุศาสน์ สุวรรณมงคล วุฒิสมาชิกปัตตานีกล่าวระหว่างลงเยี่ยมคนในตลาดที่มีคนเหลือแค่หยิบมือ “มันเป็นเหตุการณ์รุนแรงมาก เกิดขึ้นใกล้สภอ.สายบุรี ผู้ก่อเหตุสามารถยึดถนนได้ในช่วงเที่ยง และเราไม่มีมาตรการชัดเจนที่จะดูแลประชาชนสร้างความเชื่อมั่นและความเข้าใจ เช่นออกมาชี้แจงในภาพรวมว่าอะไรคือเรื่องจริงอะไรคือข่าวลือ”

สิ่งที่เกิดวันนี้อนุศาสน์ชี้ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เหตุการณ์ที่สายบุรีทำให้คนในสายบุรีต้องเตรียมตัวซื้อหาข้าวของกักตุน “คนเก่าคนแก่ของสายบุรีถึงกับเปรียบเทียบว่ามันเหมือนสงครามโลกครั้งที่สอง ปัญหาคือตอนนี้รัฐบาลจะทำอย่างไร จะเดินหน้าต่ออย่างไร” อนุศาสน์เป็นอีกเสียงที่เรียกร้องรัฐให้สร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวบ้านเพื่อแยกแยะข่าวและเสียงลือให้ได้ 

แต่แน่นอนว่าเมื่ออำนาจรัฐไม่อาจให้ความเชื่อมั่นว่าจะคุ้มครองประชากรได้ พวกเขาก็ต้องหันไปพึ่งตนเอง จึงไม่แปลกที่คนจำนวนมากจะตัดความเสี่ยงด้วยการปิดร้านหรือไม่ทำงาน แต่ที่แน่ๆปัญหาของการจัดการกับวันศุกร์น่าจะเป็นอย่างที่สว.อนุศาสน์ระบุ คือจะเป็นประเด็นไปเรื่อยๆ 

สิ่งที่เห็นได้ชัดว่าเกิดขึ้นในวันนี้ด้วยคือปัญหาว่า การ “หยุด” นั้นจะต้องครอบคลุมแค่ไหน ในท่ามกลางความฉุกละหุกและแตกตื่น การตีความเรื่องให้หยุดทำงานนั้นกินความกว้างขวางไปไกลถึงขั้นบางคนไม่ออกจากบ้าน และบางรายไม่ทำงานใดๆเลยก็มี จึงเข้าใจได้เมื่ออนุศาสน์เรียกร้องด้วยว่า “ผู้นำศาสนาเองก็ต้องออกมาชี้แจงให้เป็นที่เข้าใจกันว่าอะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ในวันศุกร์ และเราจะอยู่ร่วมกันอย่างไรในสังคมพหุวัฒนธรรม” 

พวกเรานักข่าวกลุ่มเล็กๆเดินทางกลับที่พัก เราเจอเด็กกลุ่มใหญ่ถีบรถเล่นบนถนนที่ปลอดการสัญจรเพราะโรงเรียนของพวกเขาปิด เมื่อย่างเข้าเขตเมืองเริ่มเห็นว่ามีร้านเซเว่นเปิดบ้าง ผู้คนในเมืองเข้าคิวซื้ออาหารกลางวันกันเป็นบางจุด สภาพการณ์ในยามค่ำคืนก็มีปัญหาไม่แพ้กัน 

ในขณะที่รัฐถูกตั้งคำถามเรื่องศักยภาพในการดูแลคุ้มครองชาวบ้านรวมทั้งการตระเตรียมความพร้อมให้ประชาชนในสถานการณ์ที่มีปัญหา อีกด้าน หาก “ขบวนการ” เป็นคนวางเกมนี้จริง ก็มีคำถามตามมาอีกเพียบว่า นี่คือผลลัพท์ที่พวกเขาต้องการจริงหรือ แล้วมันจะซื้อใจชาวบ้านได้หรือไม่ หรือว่าประเด็นนี้มันไม่ใช่โจทก์ของพวกเขา