วันศุกร์บนเส้นทางแห่งความเงียบของเจ้าหน้าที่ภาคสนาม
นางสาวกูซ่าหารีนา กูบอสู
เจ้าหน้าที่ภาคสนาม มูลนิธิเพื่อการเยียวยาและสร้างความสมานฉันท์ชายแดนใต้
วันนี้ตื่นมา อากาศ “ ดีจัง ” รีบอาบน้ำแต่งตัว เพื่อไปทำงาน เสร็จเรียบร้อย ก็เดินออกจากบ้านที่อำเภอยะหา จังหวัดยะลา ก้าวแรกที่ออกจากบ้านก็เอะใจ ทำไมวันนี้บรรยากาศเงียบเหงามาก แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันศุกร์ เป็นสัปดาห์ที่สองแล้วที่วันศุกร์เงียบงัน เพราะการข่มขู่ที่ประกาศห้ามขายในวันศุกร์และห้ามออกเดินทาง..... ร้านอาหารในหมู่บ้านก็ปิดหมด (จึงต้องผัดข้าวของเมื่อคืนมากินเป็นอาหารมื้อเช้า) และทันใดนั้นในใจฉันก็รู้สึกหวาดหวั่น หวาดกลัว ทั้งที่ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน มือหยิบมาม่ามาห่อหนึ่ง เพื่อกินตอนกลางวัน เพราะกลัวว่าเที่ยงนี้จะไม่มีอะไรกิน (เป็นเอามากเลยเรา คงจะกลัวจริง ๆ แล้วละ) คงเป็นเพราะหลังจากที่มีใบปลิว (ให้หยุดขายของทั้งหมด) และวางระเบิดที่สายบุรี วันศุกร์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ชาวบ้านพากันหวาดกลัวและหยุดขายของ
แต่มันไม่ใช่เท่านี้ เมื่อขับรถออกจากบ้านเพื่อจะไปทำงาน แต่ไม่มีรถผ่านไปผ่านมาเลย จากที่บ้านถึงตัวเมืองยะหา ไม่มีซักคัน ฉันเริ่มรู้สึกกลัวไปหมด ทั้งที่ตัวเอง ไม่เคยกลัว ไม่ว่าจะไปที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร แต่วันนี้ความรู้สึกเปลี่ยนไปทันที จากที่เคยเป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนามของมูลนิธิเพื่อการเยียวยาและสร้างความสมานฉันท์ชายแดนใต้ หรือ มยส. มาตั้งแต่ปี 2553 เราไม่เคยกลัวอะไร ลุยได้ทุกที ไม่ว่าซอกไหน มุมไหน หรือจะเป็นพื้นที่เสี่ยงแค่ไหน แต่อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้กระมังที่รู้สึกว่าสถานการณ์รุนแรงมากขึ้น ขับรถไปพลาง คิดพลาง เสียวหลังอย่างบอกไม่ถูก.... หากมีคนมาดักหน้าแล้วฉันจะทำอย่างไรดี ตอนนั้นในใจคิดไปต่างๆนาๆ “ช่างมันเถอะ อะไรจะเกิด ก็ให้มันเกิด” อาทิตย์ที่แล้ว น้องที่บ้านไปซื้อของที่ตลาด ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งได้เดินมาถามว่าน้องขายของอยู่ที่ไหน แต่น้องก็ทันคน จึงไม่บอกไป เพราะวันศุกร์ที่ผ่านมานั้นมีคนมาขายของแค่ 3 ราย และมีน้องสาวเพียงคนเดียวที่ไปซื้อของ จึงโดนถาม ทำให้น้องเขารู้สึกกลัวขึ้นมาทันที
บนถนนสายยะหา-ยะลา ริมถนนวันนี้ มากด้วย ชรบ. อส. และทหารมากกว่าปกติ ในใจคิดไปไกลว่ามันเกิดอะไรขึ้นหรือ เค้าทำอะไรกัน ทำไมเจ้าหน้าที่ทหารจึงมากมายขนาดนี้ เดินไปเดินมาถืออาวุธอย่างจริงจัง “จะโชคร้ายหรือเปล่าน่ะเรา.... เราจะเดินหน้าต่อหรือเราจะกลับบ้านดี ... แต่คงจะไม่ได้ซิ เพราะเรามีงานค้างที่ต้องเคลียร์ให้เสร็จ” ยิ่งไปไกล ยิ่งรู้สึกกลัว ทั้งถนนแทบจะไม่มีรถผ่านไปมาเหมือนทุกวันเลย หรือว่าเค้าหยุดกันจริงๆ ร้านขายอาหาร ร้านขายของริมถนนต่างพากันปิดหมด ผู้คนและร้านที่เดิมมากมายไปด้วยผู้คน วันนี้หายไปไหนหมด “ทำให้รู้สึกเงียบเหงาวังเวงอย่างยิ่ง ทั้งๆ ที่วันนี้อากาศดี ” ขับรถพลาง คิดพลาง “แล้ววันนี้ ฉันจะได้กลับบ้านหรือเปล่า.. .” มาได้ครึ่งทาง ก็ได้เจอรถตู้สายยะลา-หาดใหญ่ ในใจจึงคิดว่า “เอาล่ะ ขออาศัยร่วมเดินทางไปซักคน ที่นี้เราก็มีเพื่อนคู่ทาง ที่เดินทางไปด้วยกันแล้ว ค่อยทำให้อุ่นใจขึ้นบ้าง” ตลอดเส้นทางนั้นมีรถผ่านไปผ่านมาเพียงประมาณ 10 คัน ซึ่งถือว่าผิดปกติ เพราะรถน้อยมาก ทั้งมอเตอร์ไซด์และรถยนต์
พอมาถึงตัวเมืองยะลา ก็ยังรู้สึกวังเวงเช่นเดิม บ้านเมืองดูเหงา ๆ บรรยากาศแปลกๆ บางร้านก็ปิด บางร้านก็เปิด ร้าน 24 ชั่วโมงเช่นเซเว่นอีเลเว่นบางที่ก็ยังปิด พอมาถึงที่ทำงาน ปรากฏว่า ..ไม่มีใครมาซะงั้น ในใจคิดว่า “ใครก็ได้ช่วยบอกฉันที วันนี้เป็นวันหยุดประจำชาติหรืออย่างไร ทำไมมันเงียบเหงาเช่นนี้” นั่งทำงานไปก็คิดไป ทบทวนและดูเวลาว่าจะเดินทางกลับบ้านเลยดีหรือเปล่า คิดไปคิดมา จึงตัดสินใจอยู่ทำงานต่อไปก่อนดีกว่า ค่อยกลับช่วงบ่าย ถ้าเย็นไป อาจจะกลับไม่ถึงบ้านแน่ ....คิดด้วยความหวาดกลัว...........
เมื่อถึงเวลาเที่ยงวัน ฉันเตรียมตัวเพื่อจะเดินทางกลับ แต่ก็ยังคงกลับไม่ได้ เพราะเวลานี้ คนส่วนใหญ่เตรียมตัวละหมาดวันศุกร์ จึงต้องนั่งรอเวลากลับหลังเวลาละหมาดวันศุกร์ ระหว่างทาง ฉันขับรถกำลังจะผ่านร้านขายน้ำมันที่ปกติจะมีคนมาเติมน้ำมันกันพลุกพล่าน ทันใดนั้นฉันก็เห็นผู้ชายสองคนนั่งรถมอเตอร์ไซด์อยู่ข้างหน้า พอมาถึงที่ร้านขายน้ำมันนั้น ทั้งสองหันมองที่ร้านด้วยสายตาแปลกๆ ขับช้าๆสายตาหันมาดูที่ร้าน หันมองจนคอแทบจะหันมาอยู่ด้านหลังแล้ว ในใจจึงคิดรู้สึกกลัว ๆ และหวาดระแวงไปหมด ก็รีบขับรถอย่างเร็ว เพื่อจะได้ผ่านเส้นทางตรงนั้น จนในที่สุดก็เดินทางกลับถึงบ้านพร้อมถอนหายใจอย่างแรง
กลับมาถึงบ้านฉันก็ได้เล่าเหตุการณ์ที่รเนขายน้ำมันสามแยกบ้านเนียงให้สมาชิกในบ้านฟัง สามีจึงได้บอกว่า เส้นทางจากสามแยกบ้านเนียงจนถึงเลยบ้านยะลานั้น ถ้าขับเร็วได้ให้รีบขับเร็ว เนื่องจากเป็นช่วงเส้นทางที่มีเหตุกาณ์บ่อยมาก ให้ระวังให้มาก ทำให้เรารู้สึกกลัวขึ้นมาอีกครั้งแม้จะถึงบ้านแล้วก็ตาม
ในวันเดียวกัน ที่อำเภอรามันได้มีคนร้ายยิงชาวบ้านที่กรีดยาง ซึ่งเป็นคนแก่ชรา ขนาดคนแก่ยังไม่เว้น ซักพักคนในหมู่บ้านผ่านมา ได้มาบอกข่าวว่าเส้นทางข้างบน (ในหมู่บ้านอื่นแต่อยู่ในเส้นทางเดียวกัน) ได้มี ผ้าขาว ไข่ ข้าวสารและเงิน 20 บาท แขวนไว้ที่ต้นไม้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์หมายถึงอุปกรณ์สำหรับคนที่จะมางานศพ วันนั้นจึงกลายเป็นวันที่เงียบเหงา เพราะไม่มีคนกล้าผ่านไปผ่านมาเพราะกลัวจะเป็รศพ
มาถึงช่วงค่ำ ได้ฟังวิทยุชุมชนก็ได้ยินแต่เสียงเตือนให้หยุดทำการใด ๆ วันศุกร์ โดยได้ประกาศไม่ให้ขายของ ไม่ให้เดินทาง ไม่ต้องออกไปไหนเลย ให้อยู่แต่ในบ้าน ผู้ชายก็ให้เอาเวลาไปละหมาดอย่างเดียวแล้วแล้วพักผ่อนอยู่กับบ้าน ผู้หญิงก็ให้อยู่แต่ในบ้านคอยเป็นแม่บ้านและทำเฉพาะอามานอีบาดะ (เรียนรู้หลักการทางศาสนาให้มากขึ้น)..... พอได้ฟังวิทยุคลื่นนี้แล้ว ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกกลัวและไม่กล้าที่จะออกไปไหนมาไหนในวันศุกร์ ทั้งๆที่ความรู้สึกเช่นนี้นั้นที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลย
ทำไมช่วงนี้ถึงมีเหตุการณ์รุนแรงขึ้นมาก แต่ก่อนฉันอยู่ที่ตำบลตะบึ้ง อำเภอสายบุรี ทั้งที่มีเหตุการณ์เกิดบ่อยแต่ก็ไม่ได้กลัว พอย้ายมาอยู่ที่อำเภอยะหา คงเพราะพบเจอเหตุการณ์ที่รุนแรงมากขึ้น ความรู้สึกเปลี่ยนไปหมด ทั้งกลัวและหวาดระแวง ไม่กล้าที่จะออกไปไหนไกลคนเดียว ในสัปดาห์เดียวกัน นับได้ว่ามีเหตุการณ์ทุกวัน ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเหตุการณ์เกิดใกล้ ๆ บ้านด้วย
วันเสาร์เกิดการยิงกันในยะหา นักเรียนที่ไปเรียน กศน.ได้รับบาดเจ็บ
วันอาทิตย์มีการระเบิดรถตำตรวจปะแตหว่างที่ไปส่งผู้ต้องหาที่ยะลา ตำรวจได้รับบาดเจ็บ บนถนนสายยะหา-ยะลา (บ้านยะลา) เป็นรูใหญ่ รถตำรวจคันใหม่ล่าสุดป้ายแดงหงายท้องพังยับเยิน
วันจันทร์มีการยิงเจ้าของร้านขายหลอดไฟตกแต่งที่สามแยกบ้านเนียง โดยมีคนร้ายจำนวน 4 คน ขับรถกระบะตามเจ้าของร้านจนมาถึงบ้านพงลูกา แล้วยิงจนเสียชีวิต ญาติของฉันที่เดินทางกลับจากยะลาได้เห็นเหตุการณ์อันน่ากลัวนี้ด้วย
วันพฤหัสบดีมีการวางระเบิดบ้านซีเซะ จำนวน 3 ลูก เกิดระเบิดไป 2 ลูกและสามารถกู้ได้ 1 ลูก แรงระเบิดทำให้บ้านฉันรู้สึกสั่นสะเทือน เพราะบ้านซีเซะตั้งอยู่บนถนนอีกสายที่อยู่หลังบ้านฉันห่างออกไปเพียง 1 กิโลเมตร และเป็นช่วงเวลาที่ฉันกลับมาจากที่ทำงาน พอมาถึงอำเภอยะหา เห็นผู้คนจอดรถรออยู่ที่สามแยกบ้านเนียงเต็มไปหมดและมีทหารมากมายกั้นเส้นทางตรงนั้นไว้ เพื่อไม่ให้เดินทาง เนื่องจากยังมีระเบิดและตะปูเรือใบ เจอกับเหตุการณ์วันนั้นแล้ว ทำให้ฉันรู้สึกกลัวไปอีกหลายเท่า ในใจคิดไว้ว่า “แล้วต่อไปจะเกิดขึ้นที่ไหนอีก และฉันจะโดนลูกหลงหรือเปล่า”
คนทำงานอย่างฉันไม่แน่ซักวันต้องเจอเข้าสักวัน เพราะเจ้าหน้าที่ภาคสนามจะต้องออกพื้นที่ทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ไหน เสี่ยงแค่ไหน จากการทำงานที่ผ่านมาเคยได้แต่ผ่านพบเจอหลงเกิดเหตุการณ์รุนแรง เคยเจอตะปูเรือใบ 1 ครั้งบนถนนสายรือเสาะ-นราธิวาส แต่วันนั้นไม่เคยรู้สึกกลัว แต่มาถึงปัจจุบัน ความรู้สึกตรงนั้นเริ่มเปลี่ยนไป อาจจะเป็นเพราะว่าฉันเรามีครอบครัวหรือเปล่า เพราะแต่ก่อนยังไม่มีลูก แต่ตอนนี้ฉันมีคนสำคัญของครอบครัว “ลูกน้อย ๆ ตาดำๆ” คิดถึงลูกในเวลาออกไปพื้นที่ คิดต่างๆนาๆ
การทำงานภาคสนามที่ต้องเยี่ยมเยียนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่สงบ ทำให้ฉันได้พบเจอเรื่องราวของผู้ได้รับผลกระทบในหลากหลายรูปแบบ ในความคิดของคนภายนอกที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ภาคสนามอาจคิดว่าหน้าที่เช่นนี้สนุก ได้ท่องเที่ยวทุกพื้นที่ ทำงานก็ไม่เครียดเพราะได้เจอกับผู้คนมากมาย แต่ในความเป็นจริง จะมีใครที่เข้าใจเจ้าหน้าที่ภาคสนามที่แท้จริงหรือเปล่า แม้จะมีความสนุกและท้าทายความสามารถก็จริง แต่ความสนุกนั้นก็ปะปนไปด้วยความเสี่ยงต่างๆนาๆที่มองไม่เห็นแต่พอจะสัมผัสรับรู้ได้
การทำงานในพื้นที่นั้นยากแค่ไหนกี่คนจะรับรู้ การพูดคุยกับชาวบ้านต้องทำความเข้าใจอย่างไร และไม่ใช่ฉันเพียงคนเดียวที่รู้สึกเช่นนี้ เจ้าหน้าที่ภาคสนามอีกหลายคนก็รู้สึกเช่นนี้ เวลาทำงานเราทำงานแบบมีความสุข สนุกและร่าเริงในเวลาเจอชาวบ้านหรือลงพื้นที่ต่างๆ มีของติดไม้ติดมือไปเยี่ยมชาวบ้าน แต่ในความสุขสนุกนั้นได้แฝงไปด้วยความกลัว เพราะยังมีชาวบ้านอีกหลายคนที่ไม่เข้าใจคนทำงานอย่างเราๆ ว่าเราต้องการอะไรจากชาวบ้าน ทำไมเราให้ความช่วยเหลืออะไรกับพวกเขาเหล่านั้น จึงมีทั้งคนชอบคนรักและคนไม่ชอบคนเกลียดเป็นเรื่องธรรมดา แต่ความสุขจริงเมื่อเจอชาวบ้านที่เข้าใจ และเมื่อได้พูดคุยกับชาวบ้านและเขาได้ระบายความรู้สึกที่เป็นทุกข์ออกมาผ่านเรา คนทำงานภาคสนามได้กลายเป็นคนสำคัญคนหนึ่งที่เขาคิดถึงเวลาที่เขามีปัญหา ฉันชอบการเป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนามก็ตรงนี้ บางครั้งลงไปแล้วก็ไปพบกับญาติของตนเองทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ตั้งแต่เริ่มเป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนามจนถึงปัจจุบัน ฉันได้เดินทางไปทั่วสามจังหวัดและ4 อำเภอชายแดนของจังหวัดสงขลา และรู้สึกโชคดีทุกครั้งที่ได้เจอเครือญาติด้วยตัวเอง และรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนามที่ชาวบ้านยอมรับให้ความสนใจและที่สำคัญคือสามารถช่วยเหลือแบ่งเบาความทุกข์ของผู้คนในพื้นที่ไม่มากก็น้อย
ความสุขใจและภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบเหตุความไม่สงบคือพลังใจที่ทำให้ฉันยังคงทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนามต่อไป แม้ความกลัวในจิตใจได้เพิ่มขึ้นกว่าก่อนแล้วก็ตาม