รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช
16 ชีวิตในปฏิบัติการโจมตีครั้งเดียวนับเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญสำหรับขบวนการต่อสู้เพื่อเอกราชปาตานี ข่าวนี้สร้างกระแสความตื่นตัวในสังคมไทยต่อเหตุการณ์ความขัดแย้งในชายแดนภาคใต้ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งนับวันสาธารณชนในสังคมไทยจะให้ความสนใจต่อเรื่องนี้น้อยลงไปทุกที คำถามคือเราจะอ่านเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างไร
ข้อมูลจากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาคสี่ส่วนหน้า ระบุว่าชายฉกรรจ์ประมาณ 50 คนแต่งกายด้วยชุดทหาร สวมเสื้อเกราะ มีผ้าพันคอสีขาวได้ขับรถกระบะ 3คันและจักรยานยนต์ 2 คัน พร้อมอาวุธสงครามในมือเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการกองร้อยปืนเล็กที่ 2 บ้านยือลอ ต.บาเระเหนือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาสในเวลาประมาณตีหนึ่งของวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หลังปะทะกันประมาณ 10-15 นาที “ผู้ก่อเหตุรุนแรง” เสียชีวิตที่บริเวณข้างฐาน 14 คน อีก 2 คนเสียชีวิตในการปะทะกับเจ้าหน้าที่ที่ติดตามไปขณะล่าถอย หนึ่งในผู้เสียชีวิตมีนายมะรอโซ จันทรวดี แกนนำกลุ่มติดอาวุธที่มีค่าหัวสองล้านรวมอยู่ด้วย ซึ่งแหล่งข่าวทหารในพื้นที่ระบุว่าเป็นหัวหน้าระดับ “กอมปี” (กองร้อย) ที่คุมพื้นที่อ.บาเจาะ และอ.ยี่งอ ในจ.นราธิวาส และอ.สายบุรี จ.ปัตตานี (บางส่วน)
เหตุการณ์โจมตีฐานทหารในพื้นที่ขัดแย้งในชายแดนภาคใต้เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อย่างน้อย 5 ครั้ง ครั้งแรกเป็นเหตุการณ์ที่จำกันได้ดี คือการบุกปล้นปืนจากค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (ค่ายปิเหล็ง) ในอ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาสเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 ขบวนการกวาดปืนไปกว่า 400 กระบอกและทหารถูกยิงเสียชีวิต 4 นาย ซึ่งนับเป็นการเปิดฉากการต่อต้าน “อาณานิคมสยาม” อย่างเต็มรูปแบบขึ้นอีกครั้ง หลังจากนั้นอีกเจ็ดปีก็ไม่มีการโจมตีค่ายทหารอีกเลย จนกระทั่งวันที่ 9 มกราคม 2554 ในเหตุการณ์ที่เรียกกันติดหูว่าการโจมตี “ฐานพระองค์ดำ” ในเหตุการณ์นั้นกลุ่มติดอาวุธได้โจมตีฐานกองร้อยทหารราบในอ.ระแงะ จ.นราธิวาส ปล้นปืนไปกว่า 50 กระบอกและยิงทหารเสียชีวิตไป 4 คน ทั้งสองเหตุการณ์นับเป็นความพ่ายแพ้ที่อดสูของฝ่ายทหาร
นับจากนั้นมีความพยายามโจมตีฐานทหารอีกอย่างน้อย 3 ครั้ง ทั้งหมดเกิดขึ้นในปีที่แล้ว ครั้งแรก คือ การบุกโจมตีฐานปฏิบัติการหมวดของทหารนาวิกโยธินที่บ้านส้มป่อย ต.กาเยาะมาตี ในอ.บาเจาะ เมื่อวันที่ 9 มีนาคม ในเหตุการณ์นั้นมีการปะทะเดือดประมาณ 20 นาทีแต่กลุ่มติดอาวุธไม่สามารถเข้าไปภายในฐานได้ เหตุการณ์ต่อมา เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ฐานปฏิบัติการกองร้อยทหารราบในพื้นที่บ้านกาโดะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ทหารได้รับข่าวสารจากชาวบ้านก่อน จึงได้ออกลาดตระเวนและเกิดการปะทะนอกฐานขึ้น ฝ่ายขบวนการเสียชีวิต 2 คน ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในอ.รือเสาะเช่นกัน เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม กลุ่มติดอาวุธเปิดฉากด้วยการบุกกราดยิงบ้านคนพุทธข้างฐาน ก่อนกระหน่ำยิงฐานกองร้อยทหารราบที่บ้านท่าเรือ ในเหตุการณ์นั้นมีทหารเสียชีวิต 1 นาย ชาวพุทธ 2 คน เจ้าหน้าที่เชื่อว่ากลุ่มติดอาวุธที่โดนยิงบาดเจ็บน่าจะเสียชีวิตด้วย 2 – 3 คน
เหตุการณ์ที่บ้านยือลอในครั้งนี้นับเป็นการโจมตีฐานทหารครั้งแรกในปีนี้ ผู้เขียนอยากจะตั้งข้อสังเกต 3 ประการ ประการแรก ความสำเร็จในทางยุทธวิธีของทหารครั้งนี้อาจจะแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการใช้ทหารมืออาชีพในการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ที่มีการต่อสู้ทั้งทางการรบและงานมวลชนอย่างแหลมคม ตามข้อมูลสัมภาษณ์ของผู้บังคับการของทหารนาวิกโธยินในศูนย์ข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา ความสำเร็จครั้งนี้เกิดจากการค้นพบข้อมูลของฐานที่ถูกวางเป็นเป้าหมายในการโจมตีจากวัตถุที่ยึดมาได้จากกลุ่มติดอาวุธในช่วงสิบวันก่อนหน้า ที่สำคัญคือภาพวาดเล็กๆ ด้วยปากกาสีน้ำเงินเป็นแผนที่ค่ายซึ่งพบที่ตัวของนายสุไฮดี ตะเหหลังถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญฆาตกรรมที่อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประกอบกับการให้ข่าวจากประชาชนในพื้นที่ การที่มีสิ่งบอกเหตุล่วงหน้าทำให้ทหารเริ่มเตรียมพร้อมและเสริมกำลัง งานการข่าวเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากในพื้นที่ขัดแย้งที่ความซับซ้อน ฉะนั้นการปฏิบัติการที่มีประสิทธิภาพจำเป็นจะต้องใช้มืออาชีพที่เกาะติดพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ประเด็นนี้เป็นปัญหาของกองทัพมาโดยตลอด ทหารนอกพื้นที่มาประจำการเพียงหนึ่งปีก็กลับไป แม้บางคนบางหน่วยจะปฏิบัติหน้าที่ได้ดี แต่ก็ขาดความต่อเนื่อง ในขณะที่การแก้ปัญหาเรื่องนี้ด้วยการใช้ทหารพรานมาปฏิบัติหน้าที่แทนทหารหลัก ก็อาจจะสร้างมากกว่าแก้ปัญหา เนื่องจากคุณภาพของบุคลากรและการฝึกอบรมที่ไม่อาจเทียบกับทหารอาชีพได้ หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในพื้นที่ควบคุมของทหารพราน ผลลัพธ์อาจไม่ออกมาในลักษณะนี้ก็เป็นได้ นโยบายในการใช้ทหารพรานแทนทหารหลักของกองทัพจึงควรจะมีการทบทวน
ประการที่สอง เราจะเข้าใจความตายของคนเหล่านี้อย่างไร ความเห็นในโลกของคนพุทธที่ปรากฏในสื่อต่างๆ บางคนแสดงความสะใจที่พวก “ผู้ก่อการร้าย” หรือ “สุดโต่ง” เสียชีวิต ในอีกโลกหนึ่งที่คนไทยส่วนใหญ่เข้าไม่ถึง คนมลายูมุสลิมในภาคใต้ที่ไปร่วมงานศพพวกเขาตะโกนป่าวร้อง “อัลลอฮ อัคบัร” (พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่) ขณะช่วยกันส่งร่างที่ไร้วิญญาณไปสู่หลุมฝังศพ (ดูคลิปพิธีฝังศพที่ https://www.youtube.com/watch?v=lkC2yRYEZic&feature=youtu.be) ช่วงต้นของคลิปนี้ มีคำพูดที่เขียนในภาษามาเลย์แปลได้ว่า “พวกเจ้าอย่าได้กล่าวถึงคนที่ตายในหนทางแห่งพระเจ้าว่าพวกเขาตายแล้ว แท้จริงพวกเขายังมีชีวิต แต่พวกเจ้าไม่อาจรับรู้” ผู้เขียนไม่มีข้อมูลเชิงประจักษ์ แต่ก็เชื่อว่าไม่ได้มีการอาบน้ำศพ ซึ่งเป็นวิถีปฏิบัติสำหรับ “นักต่อสู้ทางศาสนา” (นักญิฮาด) ที่เสียชีวิต (เป็นการตายในหนทางแห่งพระผู้เป็นเจ้า หรือเรียกว่า “ชะฮีด”) มีคำพูดหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า “ผู้ก่อการร้ายในทัศนะของคนๆ หนึ่งอาจเป็นวีรชนสำหรับคนอีกคนหนึ่ง” สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นในภาคใต้ ศาสนาอิสลามได้เข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญในจักรวาลทัศน์ (cosmology) ของคนที่เข้าร่วมขบวนการต่อสู้ในยุคปัจจุบัน ซึ่งทำให้พวกเขามีวิธีคิดในการปฏิบัติการ การกำหนดว่าใครเป็นศัตรูและใครเป็นเป้าโจมตีที่ชอบธรรมแตกต่างไปจากขบวนการในอดีต แม้จะมีเป้าหมายสุดท้ายไปสู่เอกราชเหมือนกัน ในสายตาของพวกเขา พื้นที่ในชายแดนใต้ที่พวกเขาเรียกว่า “ปาตานี” เป็น “ดารุล ฮารบี” (ดินแดนแห่งสงคราม) เพราะถูกสยามเข้ามายึดครอง ซึ่งเป็นการตีความตามหลักคิดในเทววิทยาของศาสนาอิสลาม (Islamic theology) คนพุทธในพื้นที่นี้จึงเป็น “กาฟิร ฮารบี” (คนนอกศาสนาที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินสงคราม) การสังหารคนพุทธจึงเป็นสิ่งที่มีความชอบธรรมในสภาวะเช่นนี้
ประการที่สาม การต่อสู้ที่เน้นการทหารซึ่งถูกชี้นำด้วยจักรวาลทัศน์เช่นนี้กำลังทำให้ขบวนการสูญเสียความชอบธรรมทางการเมืองในสายตาของคนที่เคยเห็นอกเห็นใจต่อความขมขื่นของคนมลายูมุสลิมที่ถูกผู้นำสยามรุกรานและพยายามที่จะกลืนกินอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์มาในอดีต การที่คนมลายูมุสลิมไม่ได้รับความยุติธรรมหรือถูกข่มเหงรังแก ไม่อาจสร้างความชอบธรรมต่อการสังหารคนพุทธซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ได้ แม้พวกเขาจะมีคำอธิบายในทางศาสนา (ตามการตีความทัศนะหนึ่งจากหลายๆ ทัศนะ) แต่สิ่งนั้นกำลังถูกตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครั้งผู้แทนขององค์กรความร่วมมืออิสลาม (โอไอซี) มาเยือนภาคใต้ของไทยในกลางปีที่แล้ว นาย Sayed Kassem El Masry ที่ปรึกษาและผู้แทนพิเศษของเลขาธิการโอไอซีได้แสดงความไม่เห็นด้วยต่อการทำร้ายผู้บริสุทธิ์ โดยอ้างถึงคำกล่าวในอัลกุรอ่านว่า “การฆ่าผู้บริสุทธิ์หนึ่งคน เสมือนการสังหารมนุษยชาติทั้งโลก” กลุ่มนักสิทธิมนุษยชนก็เริ่มกล่าวในทำนองว่าการกระทำของขบวนการนั้นอาจเข้าข่าย “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” (crime against humanity) หรือ “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” (genocide) ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศ แนวทางที่เป็นอยู่กำลังทำให้ขบวนการสูญเสียความชอบธรรมในทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ
เราควรจะทำอะไรเพื่อช่วยกันนำสันติภาพมาสู่ชายแดนภาคใต้? มีหลายเรื่องที่รัฐบาลควรจะดำเนินการ ซึ่งไม่อาจจะอธิบายได้หมดในบทความนี้ สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือการพูดคุยกับพวกเขา (peace dialogue) เพื่อแสวงหาทางออกที่จะอาศัยอยู่ร่วมกันในบ้านหลังเดียวกันอย่างสันติ แม้ว่าทหารจะชนะในสนามรบเล็กๆ ในครั้งนี้ แต่การ “จับตาย” ทั้งหมดทำให้เราสูญเสียโอกาสที่จะได้นำพวกเขามานั่งพูดคุย ซึ่งย่อมมีประโยชน์ต่อสันติภาพและความมั่นคงของประเทศมากกว่าศพที่ไร้วิญญาณ
หมายเหตุ: รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช เป็นนักวิจัยที่ติดตามสถานการณ์ภาคใต้มาอย่างต่อเนื่อง เธอเป็นอดีตนักวิเคราะห์ของ International Crisis Group บทความนี้แก้ไขปรับปรุงจากฉบับที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2556 หน้า 2.