Skip to main content
ตูแวดานียา ตูแวแมแง
สถาบันเยาวชนเพื่อสันติภาพและการพัฒนา (YDA)
 
      เริ่มเข้าเดือนแรกของปีที่ 10 ของสถานการณ์สงครามนอกระบบระหว่างขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชปาตานีกับรัฐไทย ก็พอเห็นแสงแห่งความหวังของสันติภาพบ้างแบบคลุมเครือ โดยผ่านวาทกรรม “เบื่อความรุนแรง” ตามป้ายริมถนนสายหลักทั่วพื้นทีจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการเดินทางหารือเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซียในการคลี่คลายปัญหาความรุนแรงของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กับ ดาโต๊ะศรีฮัจญี มูฮำหมัดนายิบ บินต่วนฮัจญีอับดุลรอซัก นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย  
 
 
      ซึ่งเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าชนวนเหตุการณ์สู้รบระลอกใหม่ครั้งนี้ ถูกจุดด้วยยุทธการปล้นปืนที่ค่าย ร.5 พันพัฒนาที่ 4 ค่ายปิเหล็ง อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อ 4 มกราคม พ.ศ.2547 จากนั้นมากลิ่นอายของบรรยากาศสงครามประชาชนก็เกิดขึ้นอย่างมีพัฒนาการชัดขึ้นและชัดขึ้นเรื่อยๆของภาพการมีหุ้นส่วนสำคัญ ในการดำเนินการสงครามจรยุทธ์ที่มาจากบทบาทของประชาชนโดยผ่านทั้งกองกำลังติดอาวุธและแนวทางทางการเมืองทุกรูปแบบ แต่ไม่ได้หมายความว่าก่อนปี พ.ศ.2547 นั้นสถานการณ์อยู่ในภาวะสงบ เพราะชนวนเหตุของสงครามนอกระบบในดินแดนมลายูแห่งนี้ ตามที่หลายชุดข้อมูลทางวิชาการประวัติศาสตร์ปาตานีกับสยามได้อ้างถึง ชัดเจนว่ามาจากอุดมการณ์ปลดแอกจากการยึดครองดินแดนของสยามโดยคนมลายูปาตานีกับอุดมการณ์รักษาดินแดนอันเป็นผลลัพธ์ของการล่าอาณานิคมสำเร็จของสยามหรือกรุงเทพฯโดยรัฐไทย ซึ่งเริ่มต้นภาวะสงครามด้วยเหตุการณ์แรกที่อาณาจักรปาตานีถูกตีแตกโดยอาณาจักรสยามเมื่อปี ค.ศ.1786
 
 
     จนกระทั่งวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2556 เกิดเหตุการณ์สลดใจแบบภาคภูมิใจของมวลชนขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชปาตานีและแบบหมั่นไส้อย่างสมน้ำหน้าต่อเหล่ากองกำลังปลดแอกทั้ง 16 คน ที่เสียชีวิตจากยุทธการบุกเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการทหารหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินที่ 32 นราธิวาส ของมวลชนรัฐไทย
 
 
     โดยผ่านเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้งสังคมไทยและสังคมโลกก็มีท่าทีสนใจเป็นพิเศษต่อความเป็นไปของสถานการณ์สู้รบที่ปาตานีว่าจะมีจุดจบอย่างไร
 
      โดยเฉพาะกระบวนการคลี่คลายปัญหาความรุนแรงของ กอ.รมน.โดยวิธีการครอบงำความคิดความรู้สึกของคนต่อการจับอาวุธสู้ของประชาชนปาตานีว่า “เป็นพวกนิยมความรุนแรงอย่างบ้าคลั่งเพื่อผลประโยชน์และอำนาจของกลุ่มไม่ใช่เพื่อประชาชน” โดยผ่านการบีบแนวร่วมหรือสมาชิกขบวนการฯ ที่มีหมายจับ ป.วิอาญาให้มอบตัวกลับใจเป็นคนดีร่วมพัฒนาชาติไทยแลกกับการได้รับอิสรภาพจากการตามล่าของเจ้าหน้าที่ และล่าสุดโดยผ่านวาทกรรมทางการเมืองคือคำว่า “เบื่อความรุนแรง”
 
      สำหรับคนที่ไม่ได้มีอคติกับขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชปาตานีและมีชุดข้อมูลองค์ความรู้อย่างรอบด้านและซื่อสัตย์ต่อความจริงนั้น ก็คงจะเข้าใจว่าความรุนแรงของขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชปาตานีในรูปแบบสงครามประชาชนแบบจรยุทธ์นั้น เป็นผลพวงของการปราบปรามของเจ้าหน้าที่รัฐด้วยยุทธการ “ดิสเครดิต ปิดล้อม ตรวจค้น  ไล่ล่า จับกุม สังหาร” จนทำให้การสู้ในทางการเมืองอย่างเดียวเพื่ออุดมการณ์ปลดปล่อยจากการยึดครองของการล่าอาณานิคมของสยามหรือรัฐไทยในปัจจุบันนั้นเจอทางตัน จนเป็นเหตุให้เกิดขบวนการติดอาวุธต่างๆ เช่น BRN และ PULO
 
 
โดยความหมายตรงๆ ซึ่งอิงกับข้อเท็จจริงของวาทกรรม เบื่อความรุนแรง ที่ กอ.รมน.เป็นเจ้าของ ก็น่าจะหมายความว่า กอ.รมน.เองก็เบื่อการรบด้วยกองกำลังทหาร ตำรวจ ชรบ. อรบ. อส.แล้ว
แต่ถ้าเบื่อความรุนแรงจริงๆก็น่าจะเร่งบรรยากาศของการเจรจาโดยมีคนกลางอย่างจริงๆ จังๆ สักที เพราะสาเหตุของการรบด้วยอาวุธหรือนักสันติวิธีจ๋าชอบเรียกว่า “ความรุนแรง” นั้น  มาจากภาวการณ์ที่จะพูดคุยหรือเจรจากันไม่ได้อย่างสิ้นเชิงไม่ใช่หรือ?
 
     ถ้าเบื่อความรุนแรงจริง ก็ต้องเจรจา แต่ไม่ใช่การเจรจาจัดฉากเพื่องานการข่าวเหมือนหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา เพราะเชื่อว่าอารมณ์ที่แท้จริงของประชาชนและสมาชิกขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชปาตานี ก็คงเบื่อภาวะความรุนแรงไม่ต่างกับทาง กอ.รมน. เหมือนกัน และในเวลาเดียวกันก็ “เบื่อการเจรจาจัดฉาก” ด้วยเหมือนกัน
 
     ท่าทีที่ไม่ชัดเจนของรัฐไทยว่ากำลังทำสงครามเพื่อยุติสงครามกับขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชปาตานี ด้วยความรุนแรงโดยใช้การทหาร หรือ ด้วยสันติวิธีที่ต้องสิ้นสุดที่การเจรจา แบบมีคนกลางที่มีความเป็นรัฐโดยใช้การเมือง ทำให้เหลือพื้นที่การต่อสู้สำหรับประชาชนปาตานีที่ต้องการเอกราชเป็นทางเลือกแห่งสันติภาพด้วยการหลั่งเลือดเท่านั้น
 
     นี่คือสภาพความเป็นจริงของสถานการณ์ความไม่สงบ บนเส้นทางเอกราชอาบเลือดที่ปาตานีหรือชายแดนใต้ของประเทศไทย ณ ปัจจุบัน