ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
ท่ามกลางการเจรจาสันติภาพบนเวทีระหว่างประเทศ เสียงระเบิดและความสูญเสียในพื้นที่ และท่ามกลางความเงียบงันของเสียงประชาชนในพื้นที่ซึ่งไร้ตัวตนในการ "นิยามความหมายสันติภาพ" ผมคิดว่าสิ่งที่พวกเราควรรับฟังมากที่สุดคือ จังหวะเต้นของหัวใจตนเอง...
พูดไปก็ดูโรมานซ์เกิน ลิเกไป หรือคงคิดว่าผมคงไปจำจากนิยายเรื่องไหนมา แต่ปล่าวเลย ผมกลับคิดว่าร่างกายของเราสามารถบ่งบอกหรือสะท้อนโลกทัศน์หรือความคิดที่ถูกปิดบังเอาไว้ได้โดยง่าย ทั้งนี้ ยังมิต้องพักเอ่ยถึงความรู้สึกบางอย่างที่ถูกเก็บไว้อย่างมิดชิด ทว่าก็มิอาจทรยศต่อปฏิกริยาของร่างกาย
เอาง่ายๆ บางคนเกิดมีความรู้สึกโกรธ พยายามเก็บซ่อนอย่างไร แววตาของเค้าก็มักฉายแวว หรือไม่ก็มือไม้สั่น เอาเล็บจิกเนื้อเล็กน้อย สำนวนไทยๆ จึงก็มีคำพูดว่า ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ส่วนในมาเลย์-อินโด ผมมีความรู้น้อย แต่ครูสอนภาษาอินโดของผมเคยบอกเล่าให้ฟังถึงความสัมพันธ์ระหว่างคำว่า mata (ดวงตา) กับ hati (หัวใจ) นั้นมีความสัมพันธ์กันมาก ผมลืมๆภาษาอินโดไปเยอะแล้ว แต่ครูผมบอกว่าคู่สัมพันธ์นั้นมักเปรียบได้กับ คำว่า bangsa (ชาติ) กับ bahasa (ภาษา) ในแง่นี้ หากภาษาเป็นสิ่งที่ยืนยันความเป็นกลุ่ม ชนชาติ และชาติของเราพร้อมกับกีดกันคนกลุ่มอื่นออกไป ดวงตาจึงสามารถฉายแววของความเป็นมิตรและศัตรู ความรักและความเกลียดชังบนพื้นฐานการบ่มเพาะและเรียนรู้ทางสังคม ร่างกายและความรู้สึกของเราจึงเปรียบเสมือนแหล่งรวมวาทกรรมและการครอบงำทางสังคม มันจึงไม่แปลกที่คนส่วนมากมักใช้ร่างกายเป็นพื้นที่ของการต่อต้าน
เปรียบเปรยในแง่นี้...เกี่ยวพันอย่างไรกับการตรวจสอบสันติภาพ...
โดยส่วนตัว เวลาผมได้ยินคำว่า "สันติภาพ" จากปากสื่อมวลชน นักวิชาการ และนักการเมือง หัวใจผมเต้นเป็นปกติ ราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ทว่าหลายครั้ง ยามที่ตนอยู่ในภาคสนามและมีโอกาสนั่งฟังผู้เป็นแม่เล่าถึงลูกชายที่สูญเสียไปอย่างอยุติธรรม บางครั้งต้องทนเห็นคนถูกจับ และหลายครั้งเพื่อนพ้องที่เคยสัมภาษณ์พูดคุยกันต้องเสียชีวิตหรือไม่ก็หนีหัวซุกหัวซุน เร่ร่อนไปอยู่ถิ่นอื่นนับปี
หัวใจของผมมันมักเต้นหน่วงๆ ทุ้ม ลึก พร้อมกับความเบาหวิวในบริเวณช่วงอก บ่อยครั้งทีเดียวที่ความรู้สึกเหมือนไฟมาสุมเกิดขึ้นหลังจากนั้น บางครั้ง หัวใจมันก็เงียบราวกับชีวิต เพื่อนๆที่เคยมีประสบการณ์ในภาคสนามที่ภาคใต้เคยเล่าให้ฟังว่ามีความรู้สึกคล้ายกัน แต่ที่น่าตกใจคือ ยามที่พวกเราบอกเล่าความรู้เช่นนี้กับคนรอบข้าง กลุ่มบุคคลที่ไม่ได้สัมพันธ์กับสามจังหวัดโดยตรง พวกเขากลับไม่รู้สึกเช่นนั้น ความตายของ "คนอื่น" หรือ ความตายของคนที่ไม่รู้จัก มิเคยสร้างความเจ็บปวดหรือจังหวะการเต้นของหัวใจที่แตกต่างไปจากเดิมได้ ผมจึงได้รู้ว่าในสังคมของเรามิอาจร้องไห้หรือเสียใจให้กับคนแปลกหน้า มันจะมีเพียงความสมเพชเวทนาเท่านั้นที่ผู้สูญเสียจะได้รับจากสังคม
ทว่า โลกมันก็ซับซ้อนกว่าที่คิด ผมเคยพูดคุยกับทหาร กลุ่มที่เคยเป็นหน่วยปฏิบัติการในพื้นที่ แน่นอน พวกเค้าเคยประสบเหตุการณ์ตรงกับกลุ่มแนวร่วม ระเบิด และประสบความสูญเสียมาไม่มากก็น้อย หัวใจของพวกเค้าก็เต้นระรัวในจังหวะที่ต่างกัน มันมีทั้งเต้นจนแทบระเบิดออกมาเมื่อเห็นเพื่อนทหารหรือข้าราชการที่ตนต้องคุ้มครองในพื้นที่ตาย หรือเต้นทุ้มๆ หนักๆ ช้าๆ ตอนที่รอดชีวิตได้อย่างหวุดหวิด ทั้งนี้ยังมิต้องเอ่ยถึง เสียงหัวใจของผู้คนในพื้นที่ทั้งไทยพุทธและมุสลิมซึ่งต่างประสบกับเหตุการณ์เลวร้าย ราวกับความหวังเป็นสิ่งที่ถูกพรากออกไปจากชีวิตแทบทุกวัน...
จังหวะของหัวใจคือการเปล่งเสียงทางความรู้สึกและความคิดแบบหนึ่ง หลายครั้งมันคือ ความเย็นชา คับแค้น เกลียดชัง โกรธ และโศกเศร้า ผมไม่อาจคาดเดาได้ว่า จังหวะเต้นของหัวใจของตัวแทนรัฐบาล กลุ่มแนวร่วม และผู้สังเกตการณ์นั้นเป็นอย่างไรท่ามกลางการเจรจาสันติภาพ จังหวะการเต้นของ "คนไทยผู้รักชาติไทย" จะเป็นอย่างไรทุกครั้งที่รับฟังข่าวสูญเสียในพื้นที่ แต่บ่อยครั้งทีเดียว สังคมของเรามักเอ่ยคำว่าสันติภาพง่ายเกินไป ราวกับการระบายทุกข์ในห้องน้ำ ไม่ก็ใช้มันในฐานะถ้อยคำใหญ่โตเพื่อสร้างฐานันดร หรือใช้สันติภาพเพื่อทำมาหากิน
สำหรับผม ผมต้องการสันติภาพที่มีหัวใจ หัวใจซึ่งใหญ่พอที่จะรองรับความรู้สึกทั้งมวลของผู้คนในพื้นที่ทั้งคนมลายู ไทยพุทธ ทหาร และผู้สูญเสียทุกคน ทุกครั้งที่หัวใจดวงนี้เต้นมันย่อมส่งข้อความบางอย่างออกมาอย่างมีพลัง พลังซึ่งตั้งคำถามต่อความไม่เป็นธรรม ความไม่เสมอภาค และจินตนาการใหม่ของการอยู่ร่วมกัน พลังซึ่งให้ความสำคัญต่อชีวิตคนก่อนที่จะทราบว่าเขาหรือเธอคนนั้นเป็นคนชาติไหน ชาติพันธุ์อะไร ยากจนหรือรวยล้นฟ้า...
ผมรู้ว่ามันคืออุดมคติ...
แต่วันนี้ คุณฟังเสียงหัวใจของคุณแล้วหรือยัง...