Skip to main content

             บนถนนสายหลักของยะรัง ปัตตานี ปากทางเข้าโรงเรียนปอเนาะปูลาฆาซิง มีเจ้าหน้าที่ทหารจำนวนมากยืนจับกลุ่มเฝ้าระวังอยู่ปากซอย  ทางเดินเข้าโรงเรียนที่เป็นบ้านพักของบาบออดีตโต๊ะอิหม่ามอิสมาแอ ปาโอ๊ะมานิ มีชาวบ้านเดินทางกันเข้าไปอย่างไม่ขาดสาย ผู้หญิงหลายคนถือน้ำตาลคนละถุงเพื่อไปช่วยเจ้าของบ้านที่มีภาระต้องรับรองคนเข้าไปร่วมงานมากหน้าหลายตา

ข้างในบริเวณบ้านมีกลุ่มกระท่อมหลังเล็กที่เพิ่งสร้างเสร็จจำนวนไม่กี่หลัง ส่วนหนึ่งยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ตรงกันข้ามกับที่พักนักเรียนเป็นบ้านของบาบออิสมาแอ ซึ่งเป็นทั้งที่พักและที่สอนเด็กๆ ตัวบ้านยกพื้นสูง ใต้ถุนเก็บข้าวของพร้อมรถมอเตอร์ไซค์ หน้าบ้านมีบันไดไม้พาขึ้นสู่ชานเล็กๆที่เปิดโล่งนำขึ้นสู่ประตูที่เปิดเข้าสู่ตัวบ้าน  มองไปที่ด้านล่างของชานเห็นเลือดกองอยู่หย่อมใหญ่ สีสดใหม่เห็นได้อย่างชัดเจน ข้างบนชานบ้านที่ธรณีประตูยังมีรอยเลือดสีแดงคล้ำที่ย้อยลงมา เมื่อมองเข้าไปในประตูที่เปิดอ้าเลยไปถึงเพดานด้านหลัง ก็เห็นรูกระสุนขนาดใหญ่ บ้านของบาบออิสมาแออยู่ในที่โล่งมีลานบ้านล้อมรอบ มีอีกหลายบ้านที่อยู่ใกล้เคียงหันหน้าเข้าหากันในระยะแทบจะประชิด เวลาที่โดนยิงคือเก้าโมงเช้า เมื่อพิจารณาสภาพแวดล้อมดังนี้แล้วก็จะพบว่า การบุกสังหารบาบออิสมาแอจนเสียชีวิตคาประตูบ้านนับเป็นการกระทำที่อุกอาจเป็นอย่างยิ่ง

 “คนที่มายิงนั่งรถมอเตอร์ไซค์ซ้อนกันมาสองคัน ใส่กางเกงลายพรางเสื้อสีดำแบบทหาร มาถึงก็มายืนตรงนี้แหละ” ชาวบ้านที่เล่าให้นักข่าวฟังชี้ลงที่พื้นข้างชานบันได ณ จุดที่ตรงกับปากประตูด้านบน “เขาส่งเสียงเรียกว่าเปาะจิ  พอบาบอเปิดประตู ก็โดนยิง”

เมื่อพวกเราไปถึงนั้นงานฝังศพของบาบออิสมาแอเพิ่งจะผ่านไป ชาวบ้านส่วนหนึ่งทยอยออก ขณะที่อีกส่วนก็ทยอยเข้าเพื่อจะมาเยี่ยมเยียน จากวิดีโอที่มีผู้เผยแพร่ในโซเชี่ยลมีเดียในเวลาต่อมาปรากฎภาพผู้คนจำนวนอย่างน้อยเป็นร้อยไปร่วมงานศพ ภาพคนหมู่มากแห่ศพไปกุโบร์ เห็นแล้วสามารถเข้าใจได้ว่า เหตุใดจึงมีกลุ่มเจ้าหน้าที่ทหารกลุ่มใหญ่ไปยืนเฝ้าที่หน้าปากซอย และยิ่งกว่านั้นก็คือ เหตุใดจึงไม่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปในเขตบ้านแม้แต่คนเดียว สภาพชาวบ้านรวมตัวกันเช่นนี้ ภายใต้สภาพการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตกเป็นจำเลยในความรู้สึกเช่นนั้น เข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมพวกเขาต้องระวังตัวเป็นพิเศษ

“วันนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาหาเลย”  อาแอเสาะ ปูแทน หลานสาวของบาบออิสมาแอเปิดเผย มันเป็นเวลาเที่ยงวันแล้วตอนที่เราคุยกัน การฝังศพเสร็จสิ้นไปนานนับชั่วโมง เธอบอกว่าไม่เห็นแม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะเข้าไปเก็บหลักฐานหรือสอบปากคำชาวบ้าน นั่นเป็นสิ่งแรกที่ทำให้พวกเขาคิดมากเมื่อทบทวนหาสาเหตุการตาย  ครอบครัวของบาบออิสมาแอเล่าว่า มีอีกหลายอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้นที่ทำให้พวกเขาสะดุดใจ เช่นการที่ในละแวกใกล้เคียงมีโรงเรียนและมักจะมีทหารชุดคุ้มครองครูให้เห็นเป็นประจำ ภาพนั้นก็ไม่เกิด “ตอนเช้าทหารจะไปดูแลความปลอดภัยให้ครูทุกวัน แต่วันนี้ไม่มีเลย”  แต่ที่ผิดปกติมากสำหรับพวกเขาคือ บาบออิสมาแอเป็นคนที่ทหารยกทีมไปหาเพื่อ “เยี่ยม” ทุกบ่อยทั้งกลางวันและกลางคืน แม้แต่สามหรือสี่ทุ่มก็ยังเคย บางครั้งก็ไปกันสองคันรถ “บางทีก็โทรมาบอกว่าอยากกินข้าวยำ บาบอก็จัดให้ มานั่งกินข้าวยำกันกลุ่มใหญ่มาก” หรือไม่ก็โทรไปพูดคุยแทบทุกวัน แต่วันนี้ก็อีกเช่นกันที่ไม่มีร่องรอยของเจ้าหน้าที่เข้าไปหา ไม่มีเสียงโทรเรียกสายเช่นเคย เรื่องแบบนี้ปกติพวกเขาควรจะดีใจ แต่ในวันนั้นมันกลายเป็นสัญญาณที่แปลกอย่างยิ่ง

การเยี่ยมเยียนคือการแสดงความใส่ใจและเป็นเครื่องหมายของมิตรภาพก็จริง แต่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ การ “เยี่ยม” นั้นเป็นที่รู้กันว่า มันไม่ได้หมายถึงการไปไต่ถามทุกข์สุขเท่านั้นแต่มันคือการไป “ตรวจสอบ” และเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการเฝ้าระวังของเจ้าหน้าที่ รวมทั้งเป็นการแสดงอาการกดดัน เป็นวิถีปฏิบัติที่สงวนไว้ให้คนที่เจ้าหน้าที่สงสัยเป็นหลัก การกดดันเช่นว่าก็เพื่อไม่ให้คนที่เจ้าหน้าที่คิดว่าเกี่ยวข้องกับเคลื่อนไหวก่อเหตุ หรือไม่ก็เพื่อให้ออกนอกพื้นที่ และในกรณีของบาบอ คนในครอบครัวเชื่อว่าเป็นประการหลังมากกว่า ทว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาบาบออิสมาแอก็ไม่ย้ายไปไหน มิหนำซ้ำยังใช้ชีวิตอย่างปกติ ปลูกกล้ายาง รับสอนเด็กๆในโรงเรียนปอเนาะเล็กๆที่ตั้งขึ้นตามปณิธานของพ่อ

ข้อมูลหยาบๆที่ได้จากศูนย์ทนายความมุสลิมระบุว่า อดีตโต๊ะอิหม่ามอิสมาแอเคยอยู่ในกลุ่มที่เจอข้อกล่าวหาการกระทำอันเป็นอั้งยี่ซ่องโจรร่วมกับกลุ่มคนอีกสิบเจ็ดคน แต่ผลการสอบสวนของเจ้าหน้าที่กลับไม่ได้นำไปสู่การฟ้องร้องแต่อย่างใด หลังจากนั้นไม่นานก็เจอกับการตั้งข้อกล่าวหาว่ามีอาวุธในครอบครองอย่างผิดกฎหมาย แต่ก็เช่นกันคือไม่มีการฟ้องร้องเกิดขึ้น ต่อมาก็ถูกเชิญตัวโดยเจ้าหน้าที่ทหารที่ใช้อำนาจตามกฎหมายพิเศษ ถูกนำตัวไปสอบปากคำอยู่หนึ่งสัปดาห์ หลังจากนั้นมีความพยายามจะดำเนินคดีแต่ปรากฏว่าศาลได้ยกฟ้องไป บาบออิสมาแอจึงถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ตามกระบวนการยุติธรรม

อย่างไรก็ตามกระบวนการทั้งหมดนี้ไม่อาจชะล้างความสงสัยของเจ้าหน้าที่ที่มีต่อเขาได้ “เมื่อไหร่เกิดเหตุการณ์ขึ้นบริเวณนี้เจ้าหน้าที่ก็จะมาหาบาบอทุกครั้ง” คนในครอบครัวและคนใกล้ชิดต่างคาดเดากันไปต่างๆนานาๆอย่างหาข้อสรุปไม่ได้ว่าสิ่งที่เจ้าหน้าที่ต้องการจากอดีตโต๊ะอิหม่ามจนทำให้เกิดการเยี่ยมเยียนบ่อยครั้งนั้นถึงที่สุดแล้วคืออะไรกันแน่  ในขณะที่เจ้าตัวพยายามใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ “ในระยะหลังในพื้นที่มีปัญหายาเสพติดมาก เด็กๆติดยากันเยอะ บาบอก็รับเด็กมาสอน พ่อแม่ผู้ปกครองแถวนี้ก็อยากให้เขาทำ” ญาติบอกเล่า ในสายตาของคนในบ้าน เจ้าหน้าที่ต้องการอะไรอดีตโต๊ะอิหม่ามก็ตอบสนอง และดูเหมือนว่าเขาไม่เคยขัดเจ้าหน้าที่ดังนั้นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่มีค่าเท่ากับเป็นการปฏิเสธเจ้าหน้าที่ก็กลายมาเป็นคำถามอันมหึมาในใจพวกเขาว่าจะกลายไปเป็นเงื่อนไขทำให้เกิดความไม่พอใจต่อตัวบาบออิสมาแอหรือไม่ เช่นเรื่องที่เจ้าหน้าที่เคยเสนอว่าจะให้ความช่วยเหลือในเรื่องค่าใช้จ่ายของปอเนาะ แต่บาบออิสมาแอปฏิเสธชี้แจงว่ามีคนอื่นช่วยแล้ว ญาติของบาบออิสมาแอแสดงความเป็นห่วงอย่างเปิดเผย

สถานการณ์อันตึงเครียดทำให้เห็นได้ว่าแม้แต่เรื่องแค่นี้ก็กลายเป็นชนวนความวิตกกังวลและความไม่เข้าใจที่ขยายใหญ่ได้

“แล้วคนที่ทำ ที่ขี่มอเตอร์ไซค์ซ้อนท้ายกันมาสองคัน ถือปืนเข้ามาอย่างเปิดเผย คนปกติทั่วไปที่ไหนเขาจะทำได้ แถมก่อนจะเข้ามาไปวิ่งวนอยู่ข้างนอก ไม่ได้ปิดหน้า ชาวบ้านเขาเห็น เขาจำได้”

บ้านปูลาฆาซิงเป็นพื้นที่สีแดง มันเป็นพื้นที่ประลองอิทธิพลของคนทั้งสองฝ่าย ช่วงนี้เจ้าหน้าที่ระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะใกล้ช่วงเดือนรอมฎอน ในขณะที่บทสนทนาของคนทั่วไปกำลังไล่ติดตามผลสะเทือนจากข้อเสนอของบีอาร์เอ็นที่ให้รัฐบาลถอนทหารแลกกับการที่บีอาร์เอ็นจะหยุดปฏิบัติการทางทหารช่วงเดือนถือศีลอด ความตายของบาบออิสมาแอเรียกว่ามาในจังหวะที่ทำให้ความเครียดและอุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นโดยฉับพลัน  สถานะของบาบออิสมาแอที่อยู่ในกลุ่มที่เจ้าหน้าที่จับตาทำให้ความตายของเขาก่อให้เกิดการตีความสร้างแรงกระเพื่อมอย่างไม่รู้จบ เพราะในพื้นที่ที่การฆ่าอาจหมายถึงการสื่อสารส่งสัญญาณ จึงทำให้มีการตีความกันไปหลายทิศทาง  “วันพรุ่งนี้ก็จะมีคนลงข่าวว่า ขบวนการปิดปากอดีตโต๊ะอิหม่ามเพราะใกล้ชิดเจ้าหน้าที่” หนึ่งในกลุ่มคนที่ร่วมฟังเหตุการณ์ที่บ้านบาบอเปรยขึ้น  ในขณะที่อีกรายก็บอกว่า มันก็อาจถูกตีความได้เหมือนกันว่า เป็นสัญญาณเตือนผู้ต้องสงสัยรายอื่นๆให้รู้ว่าชะตากรรมของคนที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐจะลงเอยอย่างไรก็เป็นได้

และยังไม่ทันข้ามวันดี สื่อจำนวนหนึ่งก็ลงข่าว แม้ไม่มีใครพูดว่าขบวนการเป็นคนลงมือแต่เนื้อหาข่าวที่ออกมาก็ใกล้เคียง สื่อบางรายอ้างแหล่งข่าวจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า การสังหารบาบออิสมาแอเป็นการ “สร้างสถานการณ์” ในเมื่อคำว่าสร้างสถานการณ์เป็นภาษาที่มีนัยอธิบายเหตุการณ์ว่าเป็นการกระทำของขบวนการที่ต้องการจะสร้างความไม่สงบ การนำเสนอข่าวเช่นนี้ก็คือการนำเสนอบทสรุปจากเจ้าหน้าที่ว่า การสังหารอิหม่ามก็คือการกระทำของขบวนการ แน่นอนว่า ข่าวเช่นนี้จะยิ่งสร้างความรำคาญใจให้กับชาวบ้านบ้านปูลาฆาซิงเป็นอย่างยิ่ง ส่วนหนึ่งเพราะพวกเขามองไม่เห็นว่าเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปเก็บข้อมูลหรือสอบปากคำใครแต่อย่างใด บทสรุปของชาวบ้านเองก็คงไม่หนีไปจากคำที่ว่า เจ้าหน้าที่มีธง หรือไม่ ก็หนักกว่านั้น ความเงียบในหมู่ชาวบ้านมีช่องว่างเดิมระหว่างพวกเขากับเจ้าหน้าที่ที่กำลังถ่างกว้างขึ้นเรื่อยๆ

คงจะอีกนานกว่าที่สังคมจะได้ความจริงในเรื่องความตายของอดีตโต๊ะอิหม่ามอิสมาแอ ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้ว่าความไม่สงบจะเกิดต่อเนื่องมานานเกือบสิบปี แต่สถิติการคลี่คลายคดียังต้วมเตี้ยมเท่าเดิมทำให้คลื่นความหวาดระแวงยังแรงไม่ต่างไปจากในวันแรกๆของสถานการณ์ ผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องอาศัยการประเมินความเสี่ยงกันเอาเองเพื่อกำหนดว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไร การสังหารบาบออิสมาแอ ด้านหนึ่งก็เป็นการส่งสัญญาณการไม่ปรองดอง มันทำให้คนที่เชื่อว่าตนเองเป็นเป้าหมายของทางการบางรายไม่ว่าตัวจริงหรือตัวปลอมเริ่มจะร้อนรนจนยากจะอยู่ติดที่  และสัญญาณเตือนภัยนี้ไม่ได้มาจากกรณีสังหารบาบออิสมาแอกรณีเดียว นักกฎหมายชี้ว่าช่วงนี้กรณีแบบนี้เกิดหลายหนแล้ว ลักษณะของคดีที่มีอาการซ้ำซ้อนคล้ายคลึงกันจนอาจจะเรียกได้ว่ามองเห็นเป็นแบบแผนทำให้สิทธิพงษ์ จันทรวิโรจน์ ประธานมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมออกแถลงการณ์เรียกร้องให้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องการสังหารอดีตโต๊ะอิหม่ามอิสมาแอ โดยในแถลงการณ์ที่เป็นวิดีโอระบุชัดว่า ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา มีผู้ต้องหาคดีความมั่นคงถูกสังหารไปแล้วเป็นศพที่ห้า และยังเรียกร้องด้วยให้เจ้าหน้าที่คุ้มครองบุคคลเหล่านี้จาก “ระบบอำนาจมืด” ที่ดูเหมือนจะมีอิทธิพลเหนือกระบวนการยุติธรรม เขาชี้ว่ามีเงื่อนงำหลายอย่างที่น่าสงสัยอย่างยิ่ง สิ่งที่สิทธิพงษ์แถลงก็คือเสียงสะท้อนของชาวบ้าน สิ่งสำคัญคือพวกเขาเชื่อว่ามีหลักฐาน อย่างน้อยมีคนเห็นหน้าผู้ลงมือและจำได้อย่างชัดเจน

แต่ที่บ้านของบาบออิสมาแอวันนั้น ญาติๆของอดีตโต๊ะอิหม่ามยังตัดสินใจไม่ได้ว่าพวกเขาจะทำอย่างไรต่อไปขณะที่ในใจก็เต็มไปด้วยคำถามและความอึดอัด  อาแอเสาะ หลานสาวบาบอบอกว่า “เราคงไม่ไว้ใจที่จะไปเรียกร้องอะไรจากเจ้าหน้าที่รัฐ” ส่วนญาติอีกรายสะท้อนทัศนะทางลบของชาวบ้านอย่างตรงไปตรงมาว่า “ก็คงไม่มีใครรับผิดชอบ ตายก็ตายฟรี ความยุติธรรมก็คงไม่มี”  คนในวงนั้นเงียบกันไปพักใหญ่จนมีนักข่าวถามซ้ำขึ้นมาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป อาแอเสาะพูดออกมาในที่สุดว่า “ก็อยากจะให้รัฐหาตัวคนที่กระทำอุกอาจขนาดนี้มาลงโทษให้ได้” เป็นเสียงเรียกร้องที่ดูจะเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ คล้ายกับว่าไม่มีอะไรจะให้ทำดีไปกว่านี้อีกแล้ว

mso-ascii-font-family:Calibri;mso-hansi-font-family:Calibri">