Skip to main content
กองบรรณาธิการ สำนักสื่อ Wartani
 

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม 2557 เวลาประมาณ 15.00 น. โดยประมาณ ตัวแทนชาวบ้านตันหยงเปาว์ ต.ท่ากำชำ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เดินทางมาร้องเรียนคณะกรรมอิสลาม ทนายความมุสลิม และตัวแทนนักประชาสังคมในพื้นที่ ณ หอประชุม สำนักงานคณะกรรมการอิสลาม ประจำจังหวัดปัตตานี

 (สำนักงาน คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี)

การมาของตัวแทนชาวบ้านในครั้งนี้ก็เพื่อต้องการขอคำปรึกษาและขอความช่วยเหลือจากคณะกรรมการอิสลาม ทนายความรวมทั้งตัวแทนภาคประชาสังคมในพื้นที่ เพื่อหาช่องทางการเรียกร้องความเป็นธรรมโดยสันติวิธี จากการกระทำของเจ้าหน้าที่ที่เกินกว่าเหตุ

โดยมีมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม, เครือข่ายอาสาสมัครผู้ช่วยทนายความมุสลิม มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม, สำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา, เครือข่ายบัณฑิตอาสาปาตานี, วิทยาลัยประชาชน, สหพันธ์นิสิตนักศึกษา นักเรียน และเยาวชนปาตานี และสำนักสื่อ Wartani มาร่วมต้อนรับและร่วมกันฟังถึงความในใจของชาวบ้านตันหยงเปาว์
 
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2557 เวลาประมาณ 23.00 น. มีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจชุดดำ ใส่โม่งปิดหน้า เปิดตาสองดวง (บางส่วน) และไม่ทราบจำนวนที่ชัดเจน แต่มาด้วยรถกระบะประมาณ 8 คัน ทำการกราดยิงหมู่บ้านด้วยอาวุธสงครามโดยไม่ทราบสาเหตุ พร้อมทั้งควบคุมตัวชาวบ้านอายุประมาณ 28 ปีไป มีนามว่า “นายมีดี อาแว” ซึ่งภรรยาของเขาเชื่อว่าสามีตนเองถูกซ้อมทรมานในที่เกิดเหตุก่อนที่เจ้าหน้าที่จะนำตัวไปสอบสวนและกักขังต่อไป
 

“หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่บอกว่า มีดีมีหมายจับติดตัว 2-3 คดี แต่พอพวกเราขอดูหมายของมีดี เขากลับไม่ให้เราดู” ภรรยามีดี กล่าว

“ทำไมการเข้ามาปิดล้อม ตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ต้องมีกราดยิงด้วย ถ้ากระสุนถูกชาวบ้านตายใครจะรับผิดชอบ นี่หรือการปฏิบัติของข้าราชการที่รับใช้ประชาชน” ตัวแทนชาวบ้านที่นั่งอยู่ข้างๆภรรยามีดี เสริม  

(เสื้อผ้าของ “นายมีดี อาแว” ที่ใส่ในวันเกิดเหตุ สังเกตเห็นรอยเท้าอยู่บนหลังเสื้อ และรอยเลือดแห้งข้างล่างของเสื้อ เป็นหลักฐานหนึ่งที่แม่และภรรยาของมีดีเชื่อว่าถูกซ้อมทรมานก่อนที่จะพาไปสอบสวน)
 

ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านจึงลุกขึ้นมารวมตัวกันที่จะต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมให้ถึงที่สุด คนผิดต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย

ชาวบ้านคนหนึ่งเล่าว่า “การที่เรามาในครั้งนี้ เพราะเราไม่เชื่อในแนวทางของรัฐว่าเขาจะให้ความเป็นธรรมแก่เราได้ เราจึงมาขอความช่วยเหลือจากคณะกรรมการอิสลาม ทนายความ และนักเคลื่อนไหวที่เป็นคนในพื้นที่เสียเอง เราไม่ได้ต้องการให้ทุกคนไปช่วยจับคนร้าย แต่เรามาขอคำปรึกษาหาช่องทางว่ามีช่องทางใดบ้างที่สามารถให้ความเป็นธรรมแก่พวกเราได้”
 
ชาวบ้านอีกคนหนึ่งเสริมขึ้นมาว่า “ใครที่ได้รับความเสียหายจากการกราดยิงของเจ้าหน้าที่ให้นำใบเสร็จมาแสดง แล้วจะจ่ายค่าเสียหายให้ เจ้าหน้าที่บอกพวกเราหลังจากที่เราไปแจ้งความ
 

และเราเชื่อว่า หลังจากนี้ก็คงมีการเยียวยา แจกเงินให้ แต่พวกเราจะบอกว่า เราไม่ได้ต้องการเงิน เราไม่ต้องการวัตถุใดๆทั้งสิ้น เราแค่ต้องการให้ความจริงปรากฏ ผู้ใดทำผิดก็ต้องได้รับโทษตามที่เขาทำไป

(ขอบคุณภาพจาก : Muhammad Hadi Wijaya ถ่ายเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2557 หลังเกิดเหตุกราดยิงหมู่บ้าน 1 วัน)
 

ชาวบ้านคนเดิมเล่าต่อว่า “ความจริงเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในหมู่บ้านเราแล้วหลายครั้ง ที่ผ่านมาชาวบ้านเสียชีวิตไปแล้ว 2 คน ซึ่งทั้งสองคนนี้ก็เป็นคนชรา เสียชีวิตเพราะตกใจ หัวใจวายตาย

ปิดล้อมหมู่บ้านครั้งแรกมาเกือบพันคน ครั้งที่สองมาล้อมกันเป็นพันอีก แถมยังแสดงกิริยามารยาทไม่ดีอีก ถีบประตูบ้าง ร้องตะโกนโวยวายบ้าง อย่างนี้มันไม่ใช่รูปแบบของผู้มาดูแลเรา มาอย่างโจรชัดๆ ชาวบ้านที่เสียชีวิตในจำนวนสองคนนั้น เสียชีวิตเพราะตกใจที่เจ้าหน้าที่ถีบประตูบ้านพัง ช็อก หัวใจวายตาย !!!! สองครั้งที่พูดถึงนั้นเป็นเหตุการณ์ใหญ่ๆ ส่วนเหตุการณ์เล็กๆนั้นไม่ต้องพูดถึง มีอยู่ให้เห็นตลอดเวลา
 

มีเหตุการณ์ระเบิด เผาอาคาร ปะทะกันที่หมู่บ้านอื่น กลับมาล้อม มาค้นหมู่บ้านเราตลอด ทั้งๆที่ผ่านมาเหตุการณ์สร้างสถานการณ์เกิดในหมู่บ้านเราแค่ครั้งเดียวเอง

สงสัยพวกเขาคงคิดว่าคนในหมู่บ้านตันหยงเปาว์ เป็นโจรทั้งหมู่บ้าน เขาถึงมากดดัน มาปิดล้อม มาขู่พวกเราเป็นประจำ หรือเป็นเพราะหมู่บ้านเรามีแต่คนมลายู” ชาวบ้านเล่าอย่างน้อยใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่ผ่านๆมา

 
ชาวบ้านอีกท่านพูดเสริมต่อว่า “ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมาสร้างเรื่อง สร้างปัญหา แล้วโยนให้เรา ยัดปัญหาให้เรา แต่เขากลับได้ผลงาน ได้เงิน”
 

นายอับดุลกอฮา อาแวปูเต๊ะ ประธาน มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม ประจำจังหวัดปัตตานี (MAC) แนะนำให้ชาวบ้านรวมตัวกัน อย่าแตกแยก ภาวะอย่างนี้ต้องสามัคคีกัน คนในพื้นที่ต้องกล้าพูดความจริงออกมา เพราะคนนอกพูดน้ำหนักมันจะไม่เท่ากับคนในพูด

                      (ชาวบ้านมาร้องเรียนที่สนง.คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี)

เพื่อนบ้านของมีดีอีกคนหนึ่งเล่าเสริมต่อว่า “ผมกลัว เวลาเจ้าหน้าที่มาปิดล้อมผมรู้สึกกลัวมากและคิดว่าคนอื่นๆก็คงมีความรู้สึกเหมือนผมเช่นกัน เจ้าหน้าที่มาครบอาวุธ แต่งการเหมือนในหนังรบ ใส่โม่งปิดหน้า เห็นแค่ดวงตาสองดวง มาอย่างนี้แล้วจะให้เราไม่กลัวได้อย่างไร

หากเจ้าหน้าที่มาปิดล้อมในรูปแบบนี้อีก พวกเราจะทำยังไงได้บ้าง เขาใช้กฎหมายอะไรถึงสามารถทำได้ทุกอย่าง
 
นายมูฮำหมัดอัสมิง ผู้ประสานงาน เครือข่ายอาสาสมัครผู้ช่วยศูนย์ทนายความมุสลิม มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม ประจำจังหวัดปัตตานี (SPAN) กล่าวว่า “ที่ผ่านมาการใช้กฎหมายของรัฐไทย เขาจะใช้ไม่เหมือนกัน แม้ว่าตัวบทกฎหมายจะเป็นตัวเดียวกัน อย่างเช่น พรก.ฉุกเฉิน ในปาตานี กับกรุงเทพมหานคร เป็นกฎหมายตัวเดียวกัน แต่พวกเขาใช้ไม่เหมือนกัน นี่คือจุดบกพร่องในการใช้กฎหมายของรัฐไทย ถึงเรียกว่า “กฎหมายไม่เป็นธรรม” มูฮำหมัดอัสมิง กล่าว
 

จากคำบอกเล่า พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาของชาวบ้าน ถึงไม่อธิบายก็สามารถสื่อได้ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้เขียนและผู้อ่านคงเคยได้อ่าน ได้เห็น และได้ยินการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถือกฎหมายอย่างนี้อยู่บ่อยครั้ง หากยังไม่ทบทวนถึงวิธีการทำงานของตนเอง ยังสะสมวิธีการเดิมๆอย่างนี้ไปเรื่อยๆอีก สักวันน้ำก็คงเต็มแก้ว และเมื่อน้ำเต็มแก้วเมื่อไร คุณจะเติมเท่าไรมันก็ไม่มีความหมาย 


อ่านข้อมูลเพิ่มเติม